แม่ทัพภาค 2 จี้กัมพูชาเก็บศพทหาร หวั่นโรคระบาด กองทัพไทยประณามไร้มนุษยธรรม
พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกลิ่นศพที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ได้ประสานงานไปยังกัมพูชาให้มาเก็บศพทหารในพื้นที่ของตนเอง เพราะถ้าหากปล่อยไปจะเป็นที่มาของโรคระบาด ทราบว่าเบื้องต้นทางกัมพูชาได้เริ่มทยอยขนออกจากชายแดนบ้างแล้ว
พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ส่วนการดูแลสุขภาพอนามัยกำลังพลนั้น เรามีทหารเสนารักษคอยดูแลอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ดีขึ้น เพราะทางฝ่ายกัมพูชาได้นำรถพยาบาล มาลำเลียงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และศพออกจากพื้นที่ เพราะคนเหล่านี้ก็มีญาติ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในข้อตกลง ที่เคยได้พูดคุยกันเอาไว้ ว่าฝ่ายไทยจะอำนวยความสะดวก
ขณะที่แฟนเพจ “กองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters” ได้ออกมาโพสต์ประณาม “กัมพูชา” เมื่อปล่อยทิ้งศพทหารเน่าคาพื้นที่การรบ ไร้ซึ่งมนุษยธรรมและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
โดยเพจกองบัญชาการกองทัพไทย ระบุข้อความว่า “เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ประณามการกระทำของรัฐบาลกัมพูชาและกองทัพกัมพูชา ที่ปล่อยศพทหารของตนเองไว้ในพื้นที่การรบโดยไม่มีการจัดการใดๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง”
นอกจากนี้ “การกระทำเช่นนี้เป็นการทำลายเกียรติของผู้เสียชีวิต และสร้างความเจ็บปวดให้กับครอบครัวอย่างไม่สามารถให้อภัยได้ ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) ที่กำหนดให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้ง ต้องจัดการกับศพผู้เสียชีวิตด้วยความเคารพและสมเกียรติ ในทางกลับกัน กองทัพไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลสวัสดิการทหารทุกระดับชั้นอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะกำลังพลในแนวหน้าที่สละชีพเพื่อชาติ เรามีแนวทางปฏิบัติที่เคร่งครัดและเป็นไปตามหลักสากล”
“โดยทุกครั้งเมื่อสิ้นสุดการปะทะ หรือสถานการณ์คลี่คลาย หน่วยดำเนินกลยุทธ์จะเร่งดำเนินการค้นหา และรวบรวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างทันท่วงที โดยมีขั้นตอนที่รัดกุมและเป็นไปตามหลักการแพทย์ทางทหาร มีการระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตอย่างรอบคอบ และจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติให้กับวีรชนผู้กล้า โดยมีการมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเงินช่วยเหลือเพื่อเชิดชูความกล้าหาญและเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัว”
อีกทั้ง “ตลอดจนดูแลสวัสดิการของครอบครัวทหารผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการศึกษาบุตรหลาน และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่พึงได้รับ เพื่อให้มั่นใจว่าครอบครัวจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ และสำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บ มีการส่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารที่ดีที่สุด และดูแลจนกว่าจะหายเป็นปกติ การดำเนินการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ทำตามหน้าที่ แต่คือการแสดงความเคารพต่อวีรกรรมและความเสียสละของทหารกล้าทุกคน ที่ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ เพราะสำหรับเรา”
อย่างไรก็ตาม “เกียรติศักดิ์ของทหาร คือเกียรติยศ และความภูมิใจของชาติและแผ่นดิน” เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพกัมพูชาตระหนักถึงหน้าที่ตามหลักสากล และแสดงความรับผิดชอบต่อทหารของตนเอง ด้วยการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและสมเกียรติ ไม่ควรปล่อยให้วีรบุรุษของชาติถูกทอดทิ้งอย่างน่าอับอายเช่นนี้ ข้อเท็จจริงได้สะท้อนชัดเจนว่า ฝ่ายหนึ่งเชิดชูทหารกล้า ส่วนอีกฝ่ายตั้งใจทอดทิ้งแม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต จึงเกิดเป็นคำถามว่า สุดท้ายกัมพูชารักและให้เกียรติทหารที่พลีชีพปกป้องประเทศชาติของตนจริงหรือไม่ หรือคำนึงเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากกว่าทหารผู้ยอมพลีชีพเพื่อชาติ”