ตัวเลขจ้างงานสหรัฐ สะดุดหนัก ชี้สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มแผ่ว เสี่ยงถดถอยเพิ่มสูง
ตัวเลขจ้างงานสหรัฐ เดือนกรกฎาคม ชี้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวอย่างน่ากังวล ยอดจ้างงานต่ำกว่าคาดและถูกปรับลดย้อนหลัง ส่งผลให้ความเสี่ยงถดถอยเพิ่มขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีและการบริโภคที่อ่อนแรง
วันที่ 5 สิงหาคม 2568 สำนักข่าว CNBC รายงานว่า แม้จะสร้างความขัดแย้ง แต่รายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมดูจะยืนยันชัดเจนว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มสะดุด ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่แม้จะประเมินอย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม และยังมีการปรับลดตัวเลขของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนลงอย่างหนัก ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย 3 เดือนล่าสุดเหลือเพียง 35,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสามของช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
โดยทั่วไป ตัวเลขจ้างงานถือเป็นดัชนีชี้ภาวะเศรษฐกิจล่าช้า (lagging indicator) เมื่อเทียบกับภาวะถดถอย แต่ในกรณีนี้ ความอ่อนแอในตลาดแรงงานอาจสะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังแย่กว่าที่ดัชนีทั่วไปแสดงไว้
ลุค ทิลลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ Wilmington Trust ระบุว่า “ตอนนี้เราอยู่ในภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ส่วนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ นั่นคือคำถามใหญ่ที่ผมกำลังตั้ง”
พร้อมประเมินว่ามีโอกาส 50% ที่สหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยให้เหตุผลว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบการใช้จ่ายผู้บริโภคที่คิดเป็น 68% ของ GDP ไตรมาสแรก และยังอาจฉุดการลงทุนและการจ้างงานของภาคธุรกิจ
และเสริมว่าภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อนไม่รุนแรงอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์บางรายคาดไว้
“ถ้าผู้บริโภคเป็นฝ่ายรับภาระ พวกเขาก็ต้องจ่ายแพงขึ้นกับของนำเข้า และจะลดรายจ่ายกับกิจกรรมสันทนาการ เช่น สายการบิน ดิสนีย์แลนด์ สวนสนุก โรงแรม เราเห็นข้อมูลแบบนั้นแล้ว และมันอธิบายได้ว่าทำไมเงินเฟ้อไม่พุ่งแรง”
มุมมองบวกยังมีอยู่
ถึงแม้ภาพรวมจะดูอึมครึม แต่เศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤต GDP ไตรมาส 2 โตในอัตรา 3% ต่อปี ดูผิวเผินแล้วถือว่าแข็งแกร่ง แต่หากมองภาพรวมครึ่งปีแรก GDP ขยายเพียง 1.2% โดยการใช้จ่ายผู้บริโภคแทบไม่โต เพิ่มแค่ 1% การเร่งนำเข้าในไตรมาสแรก เพื่อหนีภาษี ทำให้ GDP ติดลบ 0.5% แล้ว Q2 ฟื้นแรงเพราะนำเข้าลดลง
ถ้ารายงานการจ้างงานกรกฎาคมบ่งชี้ถึงแนวโน้มข้างหน้า ภาพเศรษฐกิจอาจมืดลงกว่านี้อีก
กัส โฟเชอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ PNC Bank กล่าวว่า “แนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด คือการเติบโตที่ชะลอลงในครึ่งหลังปี 2568 ถึงต้นปี 2569 เมื่อเทียบกับปี 2567 แต่ยังไม่ถึงขั้นถดถอย”
“แต่เมื่อดูจากการปรับตัวเลขตลาดแรงงาน ความเสี่ยงถดถอยเพิ่มสูงขึ้น และการขึ้นภาษีก็ยิ่งทำให้ความเสี่ยงนั้นสูงขึ้นอีก”
โฟเชอร์เตือนว่า การเติบโตของงานที่อ่อนแอ ประกอบกับภาษีที่สูงขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และธุรกิจชะลอการลงทุน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยในที่สุด
ทางด้าน Goldman Sachs คาดว่า GDP ครึ่งปีหลังจะเติบโตเพียง 1% โดยให้เหตุผลว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคอ่อนแรง รายได้จริงโตช้าลง จากการจ้างงานที่อ่อนแรง ภาษีที่ดันเงินเฟ้อ และการลดการโอนเงินภาครัฐในไตรมาส 4 ตามกฎหมายงบประมาณฉบับล่าสุด
“รายงานจ้างงานวันศุกร์ทำให้ตัวเลขการจ้างงานใกล้เคียงกับข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) และภาพรวมเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ชะลอลงอย่างชัดเจน เราเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ”
ทำเนียบขาวโต้กลับ
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะมืดมัว เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยังยืนกรานว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อกฎหมาย “One Big Beautiful Bill Act” ของทรัมป์มีผลบังคับใช้ ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้รายงานการจ้างงานกรกฎาคมอย่างดุเดือด โดยไล่อีริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ กรรมาธิการสำนักสถิติแรงงาน (BLS) พร้อมกล่าวหาว่าตัวเลขถูกปลอมและจัดฉาก
ขณะเดียวกันเควิน ฮาสเซตต์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำทำเนียบขาว กล่าวกับ CNBC ว่า แม้เศรษฐกิจโดยรวมยังแข็งแกร่ง แต่การปรับตัวเลขแรงงานก็น่ากังวล
“เรายังมีเหตุผลดีมากมายที่ควรมองครึ่งปีหลังอย่างมองบวก แต่แน่นอนว่า ตัวเลขจ้างงานนี้ ถ้าการปรับตัวเลขถูกต้อง ก็แสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมของเศรษฐกิจอาจน้อยกว่าที่เราคิดไว้”
แรงกดดันต่อเฟด
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยังคงกดดันธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
แม้เฟดยังคงอัตราเดิมเมื่อสัปดาห์ก่อน และเจ้าหน้าที่บางรายยังเชื่อว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง แต่หากมีสัญญาณเศรษฐกิจอ่อนแอเพิ่ม อาจทำให้เฟดเปลี่ยนใจ
ข้อมูลจากภาคอสังหาริมทรัพย์ยังค่อนข้างอ่อนแรง ยอดซื้อบ้านลดลง ราคาเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยบ้าน 30 ปีเฉลี่ยยังอยู่ใกล้ 7%
จิม พอลเซน, นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า “เรากำลังมีดอกเบี้ยเฉลี่ยบ้าน 30 ปีระดับ 7% ในขณะที่เศรษฐกิจโตแค่ 1%? ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนความแข็งแรงของเศรษฐกิจเลย”
หลายคนเห็นด้วยกับมุมมองนี้ จอช บีเวนส์ สถาบัน Economic Policy Institute กล่าวว่า “รายงานแรงงานวันนี้ ดูชัดเลยว่านี่คือหน้าตาของเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย”
มาร์ค ซานดี Moody’s Analytics กล่าวว่า “เศรษฐกิจอยู่ตรงปากเหวของภาวะถดถอย นั่นคือข้อสรุปจากข้อมูลเศรษฐกิจสัปดาห์ที่แล้ว”
วันจันทร์ข่าวร้ายยังไม่หมด ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานลดลง 4.8% แย่ที่สุดตั้งแต่มกราคม 2567 ขณะที่ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานของ Conference Board ก็ลดลงถึงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ตุลาคม 2567
ตลาดยังไม่ตื่นตระหนก
แม้เศรษฐกิจดูเปราะ ตลาดหุ้นยังไม่ได้ดิ่งแรง ล่าสุดวันจันทร์หุ้นกลับดีดขึ้น ด้วยความหวังว่าสหรัฐกับ EU จะบรรลุข้อตกลงภาษีระยะยาว
ดัชนี Dow Jones ร่วงเพียง 1.7% ในรอบเดือน
จอร์จ มาเทโย, CIO แห่ง Key Private Bank กล่าวว่า ตลาดช่วงนี้ดูชิลเกินไป แม้มีพายุการเมืองในวอชิงตัน และนักลงทุนมองสถานการณ์แบบโลกสวยเกินจริง
“หลายคนหวังว่าเศรษฐกิจจะดีต่อไป ซึ่งอาจจะจริงก็ได้ เราเองก็ไม่คิดว่าฐานของเศรษฐกิจจะถึงขั้นถดถอย แต่การชะลอตัวรอบนี้อาจใหญ่ เพราะความไม่แน่นอนสูงมาก”
ทิศทางดอกเบี้ยยังไม่ชัด
ก่อนรายงานการจ้างงาน นักลงทุนให้ความเป็นไปได้ต่ำต่อการลดดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนกันยายน แต่หลังรายงานตัวเลข พวกเขาหันกลับมามองว่ามีโอกาสถึง 90% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย (ข้อมูลจาก CME Group)
แม้ยังมีข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอีกมากก่อนการประชุม แต่บรรยากาศตอนนี้เริ่มเปลี่ยน
จอร์จ มาเทโย กล่าวว่า “เราแนะนำลูกค้าให้พิจารณาความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ต และลดการถือครองหุ้นกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่มลง”
อ้างอิง : cnbc.com