“เมอร์เคิล แคปปิตอล” ชี้ Stablecoin-Ethereum จ่อทะยานตาม Bitcoin พุ่ง รับสภาพคล่องทั่วโลกหนุน
“เมอร์เคิล แคปปิตอล” เผยสภาพคล่องทางการเงินทั่วโลกขับเคลื่อน Bitcoin ทำ All-Time High ที่ 123,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมคาดการณ์ครึ่งปีหลังสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหนุนราคาพุ่งต่อเนื่อง กฎหมาย Stablecoins ดัน Ethereum กลับมาโต ส่วนกองทุนใหญ่จ่อเข้าลงทุนใน Ethereum เพิ่ม แนะจัดพอร์ตลงทุนคริปโทฯ 1-5% กระจายความเสี่ยง แม้ผันผวนสูงแต่คุ้มค่า
นายธนลภย์ ปรีดามาโนช Fund Manager บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่า สภาพคล่องทางการเงินทั่วโลกที่ยังคงสูงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคา สินทรัพย์ดิจิทัล และ คริปโทเคอร์เรนซี ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคา Bitcoin ที่เพิ่งสร้าง สถิติสูงสุดใหม่ (All-Time High) ที่ 123,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลายลง และเม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาอย่างคึกคัก
โดยสภาพคล่องคือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุน โดยราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมักจะปรับตัวขึ้นตามหลังการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกได้รับแรงหนุนจากการอัดฉีดเม็ดเงินจากฝั่งยุโรปและจีน และคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง สหรัฐฯ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มราคาให้ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดย Bitcoin ทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งสอดคล้องกับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบของยุโรปและจีนในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุมัติกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมา ก็เป็นอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญต่อทิศทางราคา โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Stable Coins ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาคริปโทเคอร์เรนซีที่เชื่อมโยงกับ Stable Coins โดยเฉพาะ Ethereum ที่คาดว่าจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หลังจากที่ราคาพักตัวมานาน
การที่กองทุนต่าง ๆ เริ่มมองหาสินทรัพย์ดิจิทัลทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก Bitcoin เพื่อเปิดกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะหนุนทิศทางราคาให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยปัจจุบันในสหรัฐฯ มี 2 กองทุนขนาดใหญ่เตรียมเปิดกลยุทธ์การลงทุนใน Ethereum อย่างไรก็ตาม หากมีกองทุนเข้ามาในตลาดมากขึ้น อาจต้องระมัดระวังภาวะฟองสบู่ แต่คาดการณ์ว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจน
ทั้งนี้ นายธนลภย์ แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนโดยมีสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ในพอร์ตประมาณ 1-5% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง แต่เน้นย้ำว่าต้องเป็นนักลงทุนที่สามารถยอมรับความผันผวนและความเสี่ยงสูงได้
โดยมองว่ามีความคุ้มค่ากับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูง และสามารถแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้มาทยอยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่มเติมจากสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ได้