กมธ.การศึกษาฯ เสนอแนะรัฐบาลทบทวนความช่วยเหลือด้านการศึกษา หลังเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่รัฐสภา นายกมล รอดคล้าย สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา นายวิวัฒน์ รุ่งแก้ว สว. แถลงข่าวเรื่องการทบทวนให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่กัมพูชา ว่า มีข้อเสนอไปยังรัฐบาล โดยมีประเด็นสำคัญให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดโครงการความร่วมมือหรือความช่วยเหลือด้านการศึกษา จากสถานการณ์ที่เกิดความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยไทยมีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชา หลังมีปัญหาเกิดขึ้น ก็ได้กระทบกับประชาชนและเด็กที่อยู่ในโรงเรียน โดยเรามีข้อเสนอดังนี้ คือ ในส่วนความร่วมมือและความช่วยเหลือ ที่เราได้ดูแลกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านประเภทที่ผู้ปกครองมาทำงานในประเทศไทยและลูกหลานมาอยู่ในประเทศไทยด้วยนั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องช่วยเหลือทางด้านการศึกษาจะต้องดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน และข้อตกลงระหว่างประเทศ
นายกมล กล่าวอีกว่า นอกจากเราจะต้องดูแลเด็กไทยแล้ว เราจะต้องดูแลเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือสัญชาติไทย กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มด้อยโอกาส ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน เด็กเปราะบาง และลูกหลานของแรงงานต่างด้าว ซึ่งจะต้องเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก อีกทั้ง เรามีเด็กไทยในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 6.3 ล้านคน และมีเด็กต่างด้าวที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมายทั้งหมด 1.8 แสนคน
นายกมล กล่าวอีกว่า แต่ในขณะเดียวกันมีกลุ่มเด็กที่อยู่บริเวณชายแดนและเดินทางเข้ามาเรียนในประเทศไทย โดยพบว่ามาจากชายแดนกัมพูชา-ลาว เป็นส่วนใหญ่ โดยจะต้องเป็นการดูแลค่าใช้จ่ายรายหัวซึ่งหากคำนวณโดยรวมประมาณ 837 ล้านต่อปีเป็นอย่างต่ำ ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่จำนวนเฉพาะชั้นระดับประถม แต่ถ้าหากรวมการศึกษาที่สูงขึ้น ตัวเลขก็จะสูงขึ้นเช่นกัน ส่วนหากคิดเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวจะอยู่คนที่ประมาณ 2-3 หมื่นบาท
นายกมล กล่าวอีกว่า ที่เป็นปัญหาคือในเรื่องของงบประมาณที่ดูแลเด็กนั้น เราให้เรียนฟรี จัดหาเครื่องนุ่งห่มจัดอุปกรณ์การเรียนการสอน และการพัฒนาคุณภาพการเรียน อีกทั้งมีการดูแลในเรื่องการให้อาหารกลางวันและนมโรงเรียน หากถามว่าเราต้องดูแลเด็กมากน้อยแค่ไหน ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเราจะต้องดูแลเด็กเหล่านี้อย่างครบถ้วน ทั้งที่ตามหลักการต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จะดูแลเด็กที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย แต่ประเทศไทยดูแลเด็กต่างด้าวมากกว่าเด็กที่เข้าเมืองมาถูกกฎหมาย
นายกมล กล่าวอีกว่า อีกทั้งประเทศไทยน่าจะปรับลดค่าใช้จ่ายการดูแลเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะเริ่มจากประเทศกัมพูชาก่อน หากไม่ได้เป็นกัลยาณมิตรกันแล้ว ควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะดูแลเด็กที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย ส่วนเด็กที่เข้ามาแบบไม่ถูกกฎหมาย ควรที่จะมีการระงับการดูแลก่อนเบื้องต้น
นายกมล กล่าวอีกว่า และอยากให้มีการลดการช่วยเหลือด้านการศึกษาอื่นเฉพาะกับประเทศกัมพูชา เช่น เราไปช่วยเหลือในเรื่องของการยกระดับคุณภาพโรงเรียนทั่วไปของกัมพูชา รวมถึงมีโครงการให้ทุนการศึกษาด้วย เราจึงอยากเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่าอยากให้มีการทบทวนและระงับการช่วยเหลือดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น รวมถึงสามารถประหยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมากและสามารถช่วยเหลือกับประเทศที่เป็นมิตรกับประเทศไทยแต่อย่างแท้จริง
ด้านนายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การสู้รบกันนั้น ช่องทางการติดต่ออย่างเป็นทางการที่เรียกว่าด่านถาวรในจังหวัดศรีสะเกษนั้น ซึ่งตนได้ตั้งข้อสงสัยมาว่านักเรียนกัมพูชาที่มาเรียนในประเทศไทยนั้นเมื่อตรวจสอบจากเลขประชาชนพบว่ามีเครื่องหมายที่แสดงว่าผู้ปกครองอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ตนมีหลักฐานที่ขัดแย้ง คือผู้ปกครองเหล่านี้อาศัยอยู่ในกัมพูชา ซึ่งตนมองว่าต้องมีการหาว่าหน่วยงานที่ให้เครื่องหมายนั้น ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเข้มงวดหรือไม่
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า เพราะหากไม่เข้มงวด ก็เท่ากับว่าเราให้การศึกษากับชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักอยู่ในต่างประเทศ ทำมาหากินในต่างประเทศ แต่มาใช้ภาษีของคนไทย เพราะเงินที่นำมาจัดการศึกษานั้นโดยเฉลี่ยแล้วต้องใช้เงินกว่าหัวละ 30,000 บาท หากมาเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้ประเทศต้องแบกรับภาระมาเกินสมควร
“หากเขามาเรียนบ้านเราแล้วมาเป็นคนดีตามความเชื่อคนไทย ต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยึดมั่นในคติของคนไทย เคารพกฎหมายไทย ทำตัวเป็นคนดีก็ไม่ต้องคิดมาก แต่สิ่งที่ทำให้ต้องคิดมากคือมีความรู้สึกว่ากัมพูชาไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ความช่วยเหลืออื่นๆ รวมทั้งการศึกษาด้วยเราควรพิจารณาตัดได้” นายวิวัฒน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนหรือไม่ นายกมล กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงดำเนินการตามมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับยุโรปและสหรัฐ ที่ให้สิทธิเด็กเข้าเรียนเฉพาะกรณีเข้าเมืองถูกกฎหมาย เช่น บุตรของผู้ที่ไปทำงานหรือศึกษา แต่เด็กที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในหลายประเทศไม่สามารถเข้าเรียน หรือหากรับเข้าเรียนก็มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าคนในประเทศ ในปัจจุบัน ประเทศไทยดูแลเด็กต่างด้าวและไร้สัญชาติจำนวนมากเกินข้อผูกพันในอนุสัญญา
นายกมล กล่าวอีกว่า โดยเฉพาะเด็กที่เข้าเมืองผิดกฎหมายราว 800,000 คน และเด็กที่อาศัยบริเวณชายแดนที่ข้ามไปมาเป็นประจำ ทำให้ภาครัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายรายหัวสูงถึงราว 30,000 บาทต่อคนต่อปี ครอบคลุมค่าอาหารกลางวัน นม เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน และการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แต่ในกรณีเด็กไทย กลับได้รับงบรายหัวเพียงบางส่วน เช่น ค่าอาหารกลางวันและนมเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ของความต้องการ
นายกมล กล่าวอีกว่า เสนอให้รัฐบาลและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทบทวนโครงการให้ทุนการศึกษาสำหรับชาวกัมพูชาและประเทศในอาเซียน โดยอาจปรับโควตาไปยังประเทศที่เป็นพันธมิตรแท้ เช่น ลาว เวียดนาม หรือภูฏาน พร้อมย้ำว่าไม่ได้ยกเลิกความช่วยเหลือทั้งหมด แต่จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความมั่นคงของชาติ
นายกมล กล่าวอีกว่า คนไทยเป็นชาติรักสงบ และพร้อมดูแลเพื่อนบ้านที่เป็นกัลยาณมิตรอย่างเต็มที่ แต่ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีปัญหา ก็จำเป็นต้องชะลอหรือปรับความร่วมมือให้เหมาะสม และหากวันหนึ่งสถานการณ์ดีขึ้น ไทยก็พร้อมนำเรื่องนี้กลับมาพิจารณาใหม่