ถอนโฉนด 5 พันไร่ เขากระโดงสะเทือน ขุมทรัพย์ทุนใหญ่-ชาวบ้านบุรีรัมย์ ผู้บุกรุกนับพันราย ลุกฮือฟ้องระนาว
ปมข้อพิพาท คดีที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่าง กรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ปิดฉากลง เมื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ออกโดยมิชอบทับที่ดินรฟท.จำนวน 5,083ไร่ 995แปลง หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งนายขจรเกียรติ รักพานิชมณี เป็นอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ นับหนึ่งรับเผือกร้อนถอนโฉนดนำที่ดินคืนรัฐ ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง
เมื่อปี2566 พิพากษา ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินในส่วนที่ไม่มีปัญหาเรื่องขอบเขตตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่พิพากษาถึงที่สุด เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ ไข่แดง ซึ่งอยู่บริเวณกลางพื้นที่เขากระโดง
โดยพบว่ามีนายทุนครอบครองทำประโยชน์เชิงพาณิชย์มาอย่างยาวนาน ย้อนไปก่อนหน้านี้ ปมเหตุที่ นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดินคนก่อน กลับคำสั่งศาลปกครองกลางโดยมองว่ากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง เนื่องจากหากเพิกถอนจะกระทบประชาชนเจ้าของที่ดินที่สำคัญไม่มีหลักฐานแผนที่แนบท้ายแปลงที่ดินของรฟท.ที่ชัดเจน หากกรมที่ดินออกคำสั่งเพิกถอนจะถูกประชาชนฟ้องร้องได้
ในขณะที่รฟท.ระบุว่าที่ผ่านมาแม้ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้กรมที่ดินตั้งคณะกรรมการตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 วรรค 2 เพื่อร่วมกับ รฟท. ตรวจสอบในส่วนที่ไม่ชัดเจนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นก่อนจะดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าวกลับไม่มีการสอบและมีคำสั่งให้ยุติเรื่องโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ชาวบ้าน-นายทุนสะเทือนเปิดหน้าฟ้อง
อย่างไรก็ตามปฎิบัติการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับซอนบนที่ดินของรฟท.บริเวณเขากระโดง ประเมินว่า นอกจากจะกระทบต่อนายทุนในพื้นที่แล้วยัง สร้างความสั่นสะเทือนถึงประชาชนผู้ถือครอง เนื่องจาก ได้อาศัยทำกินบนที่ดินมานาน โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแปลงเล็กแปลงน้อย
อย่างไรก็ตามพบว่ามีความเคลื่อนไหวขอ นักลงทุนและประชาชนทั้ง 995 แปลงรวมตัวฟ้องกรมที่ดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากบางรายซื้อที่ดินเปลี่ยนมือต่อกันมาเป็นมือที่ 3 มือที่ 4 โดยมีโฉนดรับรองโดยรัฐถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากต้องถูกยึดหรือเช่ากับรฟท.มองว่ามูลค่าที่ดินได้ลดต่ำลง ไม่สามารถเปลี่ยนมือซื้อขายได้
ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 7 สิงหาคม เวลา 10.30 น. ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ประชาชนชาวบุรีรัมย์ ผู้ประกอบการธุรกิจ และนิติบุคคลผู้มีเอกสารสิทธิครอบครองที่ดิน ถูกต้องตามกฎหมาย ในพื้นที่รฟท. อ้างสิทธิ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแถลงข่าวของรมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ร่วมกันแถลงข่าว เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ 5,083 ไร่ จำนวน 995 ราย โดยนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ร่วมแถลงข่าวในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยจะส่งทนายเข้าร่วมแถลงข่าวแทน
“ฐานเศรษฐกิจ”สอบถามนายธนนท์ เจียรพันธุ์ รองประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ ระบุว่า หากยึดตามคำสั่งศาลแนวเขตที่ดินเขากระโดงของรฟท.พบว่ามีรัศมีไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเมตร ตามเส้นทางของถนนสายประโคนชัย-บุรีรัมย์ ซึ่งบริเวณนั้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่มีทั้งบ้านเรือนประชาชน บริษัทห้างร้าน โรงแรม ฯลฯ และแน่นอนว่าหากเพิกถอนโฉนดที่ดินจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย
รฟท.ลุยถอนโฉนด
ฟากนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่ารฟท. กล่าวว่า ภายหลังกระทรวงมหาดไทยระบุถึงโฉนดที่ออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ดินรฟท.บริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 สามารถขอเพิกถอนที่ดินที่อยู่ตรงกลางทั้งหมดได้ทันที ส่วนที่ดินชายขอบที่มีปัญหาอยู่บ้างจะตรวจสอบให้ชัดเจนต่อไปนั้น ทั้งนี้แนวทางการดำเนินงานของรฟท.
หลังจากนี้ในส่วนของกระบวนการเพิกถอนโฉนดที่เอกสารสิทธิ์ที่ดินยังคงต้องรอคำสั่งจากอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ หรือผู้รักษาราชการแทนก่อน เพื่อสั่งการให้สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการตามคำสั่งพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ตัดสินให้เพิกถอนโฉนดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา
อย่างไรก็ดีกระทรวงมหาดไทยระบุชัดเจนด้วยว่า ในปี 2567 กรมที่ดินและรฟท. ได้ร่วมกันสอบแนวเขตออกมาชัดเจนแล้ว ดังนั้นกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดเขากระโดงตามมาตรา 61 วรรค 8 ของประมวลกฎหมายที่ดินได้เลย ซึ่งรฟท. จะติดตามผลการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จากกรมที่ดินเป็นระยะๆ
ไล่ผู้บุกรุก-เปิดทางเช่าที่ดิน
นายวีริศ กล่าวต่อว่า ส่วนของผู้ครอบครองที่ดินภายในพื้นที่ดังกล่าวนั้น รฟท.เตรียมดำเนินการตามกระบวนการที่เหมาะสม โดยจะมีการเจรจากับผู้อยู่อาศัย หรือใช้ประโยชน์ที่ดินก่อนว่า ประสงค์จะย้ายออก หรือเข้าระบบการเช่าที่ดินตามระเบียบของรฟท.ซึ่งหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ดีรฟท.พร้อมเปิดทางเลือกให้สามารถเช่าที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นแนวทางการเยียวยาที่ต้องการให้มีผู้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
จ่อปลุกพื้นที่เชิงพาณิชย์
แหล่งข่าวจากบริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) กล่าวว่า กรณีที่รฟท.จะนำที่ดินเขากระโดงมาเปิดประมูลเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ หากมีการเพิกถอนโฉนดแล้วเสร็จนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบดูข้อเท็จจริงจากรฟท.อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะต้องรออัพเดตจากการประชุมร่วมกับรฟท.ก่อน
“แนวโน้มการพัฒนาที่ดินเขากระโดงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์นั้น มองว่าการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์จะพิจารณาจากศักยภาพในตัวเมือง ซึ่งในปัจจุบันศักยภาพพื้นที่ของที่ดินเขากระโดงก็สามารถทำได้ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาก่อนเปิดประมูล ส่วนใครจะเป็นผู้ดำเนินการคงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของรฟท. เพราะที่ดินเขากระโดงไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนาที่ดินตั้งแต่แรก” แหล่งข่าวจากบริษัทเอสอาร์ทีฯ
ทั้งนี้หากต้องการพัฒนาที่ดิน เขากระโดงมาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ตามกระบวนการรฟท.จะต้องโอนสัญญาที่ดินนี้มาให้บริษัทเอสอาร์ทีฯก่อน เพราะเป็นบริษัทลูกที่ต้องดูแลทรัพย์สินของรฟท.อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ดีเอสไอขีดเส้น 15 วันส่งเอกสารเพิ่ม
ขณะความคืบหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)สืบสวนกรณีพิพาทที่ดิน เขากระโดง ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าเป็นของรฟท.โดยชอบด้วยกฎหมาย เบื้องต้นคณะพนักงานสืบสวนได้ประสานงานกับ 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ รฟท. กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขอเอกสารและข้อมูลการถือครองโฉนด
โดยกำหนดกรอบเวลา 15 วัน หากยังไม่ส่งข้อมูล ดีเอสไอจะดำเนินการทวงถามอย่างเป็นทางการจากการสืบสวนเบื้องต้น พบมีนิติบุคคลรายหนึ่งครอบครองที่ดินกว่า 1,000 ไร่ ในพื้นที่บริเวณสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ ซึ่งดีเอสไอจะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับรฟท.หลังได้รับเอกสารครบถ้วน
ผ่า 4 บริษัทตระกูลชิดชอบ
ขณะเดียวกันยังพบว่าที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นฐานธุรกิจของ “ตระกูลชิดชอบ” มาอย่างยาวนาน เมื่อตรวจสอบพบว่าที่ดินอย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่เศษ ของตระกูลชิดชอบ-เครือข่าย จากทั้งหมดกว่า 5,083ไร่ โดยเอกสารสิทธิ 12 แปลง 288 ไร่ ดังกล่าวนั้น ที่อยู่ในชื่อคนตระกูลชิดชอบ โดยในจำนวนนี้มีการถือครองในชื่อคน และนิติบุคคล รวมถึงปล่อยเช่าให้นิติบุคคล มีนิติบุคคลที่เข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ หรือเช่า
สำหรับที่ดินดังกล่าวต่อจากคน “ตระกูลชิดชอบ” มี 4 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ถือครอง 5 แปลง ในจำนวนนี้มี 1 แปลงเป็นที่ตั้งของบ้านพักอาศัย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” น้องชาย “เนวิน ชิดชอบ”ครูใหญ่ “ค่ายน้ำเงิน”
ทั้งนี้บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจ “โรงโม่หิน” ถือเป็นธุรกิจหลักของคนตระกูลชิดชอบ ดำเนินการมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุค “ชัย ชิดชอบ” อดีตนักการเมืองใหญ่ “เมืองเซาะกราว” อดีตประธานรัฐสภา อดีต สส.หลายสมัย ผู้เป็นบิดา ปัจจุบันไม่มีชื่อคนตระกูล “ชิดชอบ” เข้าไปถือหุ้นแล้ว มีแค่ “เอกราช ชิดชอบ” เป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทเท่านั้น
2.บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด ถือครอง 2 แปลง ทำธุรกิจจัดตั้งสนามสำหรับเล่นกีฬา จำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันกีฬา มีกรรมการ 2 คน นายเนวิน ชิดชอบ นางสาวชิดชนก ชิดชอบ (บุตรสาวนายเนวิน)
3.บริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด เช่ามา 4 แปลง เป็นที่ตั้งสนามฟุตบอลช้างอารีนา ทางเข้าสนามแข่งรถ และที่ตั้งตลาด มี นางสาวชิดชนก ชิดชอบ บุตรสาวนายเนวิน เป็นกรรมการคนเดียว 4.บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สปอร์ตโฮเต็ล จำกัด เช่าช่วงต่อจากบริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด 1 แปลง เป็นที่ตั้งโรงแรม มีกรรมการ 2 คน นางสาวชิดชนก ชิดชอบ นายประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์
ทั้งนี้ที่ดินเขากระโดงในมือของตระกูลชิดชอบที่ต้องถูกยึดคืนให้เป็นของรัฐตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตระกูลชิดชอบและพรรคภูมิใจไทย
10 รายชื่อเอกชน-คนทั่วไปถือครองสิทธิ
นอกจากนี้พบว่ามีเอกชนและบุคคลจำนวน 10 ราย ที่ถือครองที่ดินรวมกันมากถึงประมาณ 670 ไร่ โดยมีทั้งบริษัทเอกชน บุคคลธรรมดา ไปจนถึงธนาคารขนาดใหญ่ติดอันดับ รายชื่อผู้ครอบครองที่ดิน 10 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ธนไทยพาณิชย์ จำกัด, นางสาวกีรติ เจียรพันธุ์ และเครือญาติ-ครอบครองมากที่สุดถึง 318 ไร่ 3 งาน
นายสีรสุข สัมมาชีพวิศวกุล-ครอบครอง 76 ไร่ 1 งาน 58 ตารางวา นายศิริพงษ์ เก่งสุรการ- ครอบครอง 62 ไร่ 3 งาน นางรัชศิริ เหลืองขวัญ-ครอบครอง 57 ไร่ 3 งาน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)-ครอบครอง 43 ไร่ 2 งาน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)- ครอบครอง 30 ไร่ นายสุวรรณ เจนศิริศักดิ์ -ครอบครอง 26 ไร่ 3 งาน 33 ตารางวา นายวิภาส เทียมเลิศ-ครอบครอง 24 ไร่ 2 งาน 41 ตารางวา นายวีระเดช ตั้งตรงเวชกิจ-ครอบครอง 19 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา นายบุญธรรม กลิ่นประทุม -ครอบครอง 14 ไร่