ย้อนรอยหมอวิสุทธิ์ อดีตนักโทษประหารผู้กลับใจสู่ข้อหาฟอกเงิน
จากคดีฆ่าภรรยาถึงคดีฟอกเงิน
นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ชื่อที่สังคมไทยจดจำในฐานะจำเลยคดีฆ่าหั่นศพภรรยาเมื่อปี 2544 กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งในปี 2568 เมื่อสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษเขาและพวกอีก 2 ราย ในข้อหานำข้อมูลภายในของกองทุนรวมไปใช้ดักซื้อขายหลักทรัพย์ ทำกำไรส่วนตัว และเข้าข่ายฟอกเงิน
ผู้ถูกกล่าวหาอีก 2 คนได้แก่ น.ส.ปิยาพัชร และ น.ส.นาวินี อุดมรัตน์ โดยปิยาพัชร ซึ่งเป็นพนักงานห้องค้าของ บลจ. ได้ถ่ายโอนคำสั่งซื้อขายของกองทุนให้แก่หมอวิสุทธิ์เพื่อนำไปดักซื้อหุ้นก่อน ทำให้ตัวเองได้กำไร ส่วนกองทุนเสียประโยชน์
นับเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และยังเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ก.ล.ต. จึงแจ้งเรื่องต่อสำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ชื่อของหมอวิสุทธิ์เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวระดับชาติเมื่อ 20 ปีก่อน ในคดีฆาตกรรมแพทย์หญิงผัสพร ภรรยา และถูกศาลตัดสินประหารชีวิต กระทั่งได้รับอภัยโทษและพ้นโทษในปี 2557 ต่อมาบวชเป็นพระและให้สัมภาษณ์เรื่องการกลับใจ จิตอาสา และการฝึกจิต แต่ปัจจุบันกลับต้องเผชิญคดีเศรษฐกิจอีกครั้ง
คดีฆ่าหั่นศพภรรยา: จุดเปลี่ยนชีวิต
หมอวิสุทธิ์ เคยเป็นศาสตราจารย์ด้านสูตินรีเวชแห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในแพทย์ผู้บุกเบิกการทำเด็กหลอดแก้วระดับแนวหน้าของเอเชีย ชีวิตการงานเคยรุ่งโรจน์ มีชื่อเสียง ฐานะดี และเป็นที่นับหน้าถือตาในแวดวงวิชาการ แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลงจากเหตุสะเทือนขวัญเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544
เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของหมอวิสุทธิ์กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ คือคดีอุจฉกรรจ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ฆ่าและหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ภรรยา แม้ในชั้นพนักงานสอบสวนอัยการจะเคยมีคำสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากขาดพยานหลักฐานโดยตรง แต่นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาของพญ.ผัสพร เดินหน้าฟ้องศาลอาญาด้วยตนเอง
โดยมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น คราบเลือด เส้นผม และชิ้นส่วนศพที่พบในถุงดำ ประกอบกับคำเบิกความของครอบครัวและผู้ใกล้ชิด ตลอดจนพฤติกรรมของหมอวิวุทธิ์ ก่อนและหลังเกิดเหตุ ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้ประหารชีวิต และคำพิพากษานี้ได้รับการยืนตามโดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา
ลดโทษ-พ้นคุก-เข้าสู่สมณเพศ
หลังต้องโทษจำคุกกว่า 10 ปี หมอวิสุทธิ์ได้รับการลดโทษตามหลักเกณฑ์และได้รับการพักโทษในปี 2557 ต่อมาในปี 2558 ได้อุปสมบทที่วัดปทุมวนารามในนาม พระถิระปุญโญ และใช้ชีวิตเงียบๆ ในสมณเพศ เป็นที่กล่าวขานว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ให้ข้อคิดแก่ญาติโยม และเขียนหนังสือเกี่ยวกับการเจริญสติ
หมอวิสุทธิ์ เคยให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ เมื่อ14ตุลาคม 2555 (คลิ๊กอ่านต้นฉบับ) ชีวิตในเรือนจำเปรียบเสมือนโรงเรียนสอนชีวิต ทำให้ได้ทบทวนความผิดพลาดอย่างลึกซึ้ง หมอวิสุทธิ์ไม่โทษใคร แม้แต่ผู้ตาย และให้อภัยทุกคน รวมถึงตัวเขาเอง
คดีใหม่: ใช้ข้อมูลวงใน-เข้าข่ายฟอกเงิน
แม้ชีวิตในสมณเพศจะดูเหมือนเป็นการกลับตัวอย่างสงบ แต่เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2568 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษ นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ พร้อมกับ น.ส.ปิยาพัชร และ น.ส.นาวินี อุดมรัตน์ ในข้อหาใช้ข้อมูลภายในของกองทุนรวมเพื่อดักซื้อขายหลักทรัพย์ ก่อให้เกิดกำไรส่วนตัว และทำให้กองทุนได้รับความเสียหาย
น.ส.ปิยาพัชร ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแห่งหนึ่ง นำข้อมูลคำสั่งซื้อขายของกองทุนไปเปิดเผยให้นายแพทย์วิสุทธิ์ ซึ่งใช้บัญชีส่วนตัวเข้าซื้อหรือขายหุ้นล่วงหน้า ก่อนคำสั่งของกองทุนจะถูกส่งออก ทำให้ได้กำไรอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ยังพบว่า น.ส.นาวินีมีส่วนเกี่ยวข้องในการรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดดังกล่าว ทำให้เข้าข่ายเป็นการฟอกเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ข้อกล่าวหาและขั้นตอนทางกฎหมาย
คดีนี้ ก.ล.ต. ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อ บก.ปอศ. และส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป โดยความผิดที่กล่าวหานั้นมีทั้งโทษจำคุก ปรับ และการยึดทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด
แม้หมอวิสุทธิ์จะยังไม่มีคำพิพากษา แต่การตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับความไม่สุจริตทางการเงิน ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า การกลับตัวในสมณเพศนั้นแท้จริงแล้วมีนัยยะเพียงใด หรือเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ห่อหุ้มความทะเยอทะยานแบบเดิมไว้ภายใน
สะท้อนภาพสังคม: ความรู้ไม่เท่ากับคุณธรรม
กรณีของหมอวิสุทธิ์เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า “ความรู้” โดยเฉพาะในระดับสูง ไม่สามารถทดแทน “คุณธรรม” ได้ ชีวิตของหมอวิสุทธิ์เป็นดั่งบทละครแห่งความทะนง ความหลงผิด และบทเรียนแห่งการกลับใจ แต่บทสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครรู้ได้
ในบทสัมภาษณ์ที่เคยให้ไว้ เขายอมรับว่าตอนเป็นหนุ่มเขามุ่งมั่นกับงานวิชาการจนละเลยการฝึกจิต และเห็นว่าการเจริญสติเป็นสิ่งสำคัญกว่าวิชาทางโลก หากได้ย้อนเวลา เขาอยากปฏิบัติธรรมตั้งแต่หนุ่ม
แต่คำถามที่สำคัญคือ หากเขาได้บทเรียนเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงเดินกลับเข้าสู่พฤติกรรมที่ส่อว่าผิดกฎหมายอีก
บทเรียนสำหรับสังคม
เรื่องของหมอวิสุทธิ์จึงไม่ใช่เพียงข่าวอาชญากรรม หรือคดีเศรษฐกิจธรรมดา แต่เป็นอุทาหรณ์ที่เตือนใจว่า แม้เราจะมีโอกาสลุกขึ้นใหม่ แต่ถ้าไม่รักษาความสำนึกไว้ด้วยจิตสำนึกที่แท้จริง โอกาสนั้นก็อาจกลายเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าของความผิดซ้ำ
สังคมไทยควรได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ว่า การป้องกันมิให้คนล้มเหลวทางศีลธรรมต้องเริ่มจากรากฐาน คือการปลูกฝังจริยธรรมควบคู่กับการศึกษา และแม้จะล้มแล้วก็ต้องมีระบบที่ช่วยให้คนลุกขึ้นได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
และสำหรับหมอวิสุทธิ์ บทเรียนในเรือนจำอาจยังไม่จบลง หากศาลตัดสินว่าเขากระทำผิดจริง คำว่า "อดีตนักโทษประหารผู้กลับใจ" อาจต้องถูกทบทวนใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์
ในท้ายที่สุด ความรู้ ศรัทธา ความดี และความจริง ต้องเดินไปด้วยกันอย่างไม่อาจแยกจากกันได้