“ศาลยกฟ้องทักษิณ” หนุนการเมืองผ่อนคลาย เอกชนชี้ผลดีเศรษฐกิจ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงกรณีที่ศาลอาญายกฟ้อง "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี คดีข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ว่า น่าจะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศที่ร้อนแรงทางด้านการเมืองได้ในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงช่วง 1-2 สัปดาห์นี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะต้องยอมรับว่ากรณีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องการเมืองในประเทศ โดยที่หากการเมืองได้รับการผ่อนคลาย หรือสถานการณ์เบาลง และไม่มีอะไรที่เข้ามาสร้างแรงกระเพื่อมก็น่าจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และนักลงทุน
“การตัดสินยกฟ้องของศาลอาญาวันนี้ถือว่าเป็นการปลดฉนวนไปได้ 1 จุด ทำให้สถานการณ์มีการคลี่คลาย ลดความร้อนแรงไปได้ระดับหนึ่ง แต่สำหรับนายทักษิณยังคงต้องตามลุ้นกันต่อไปกับกรณีการบังคับโทษจำคุกของทักษิณ ว่าเป็นไปตามคำพิพากษาแล้วหรือไม่ โดยศาลฎีกาฯ นัดหมาย 9 ก.ย.2568 ฟังคำสั่งคดีพักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ“
ส่วนก่อนหน้านี้ก็มีกรณีที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่เดินทางไปให้ปากคำกับศาลรัฐธรรมนูญกรณีคลิปเสียงที่คุยกับนายฮุน เซน ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่านางสาวแพทองธารมีการทำการบ้านได้ดี ตอบได้ตรงประเด็น มีการยกตัวอย่างเหตุผล
และอ้างอิงถึงหนังสือที่เขียนถึงข้อแนะนำ หรือวิธีการการเจรจาที่ใช้เหตุและผลจากมหาวิทยาลัยระดับโลกมาเป็นส่วนประกอบในการยกตัวอย่าง
“กรณีของนางสาวแพรทองธารนั้น ถือว่าบทที่ 1 ได้ผ่านมา แต่ในบทต่อไปยังไม่มีใครที่สามารถจะตอบได้อย่างชัดเจนว่าศาลจะมีการพิจารณา และตัดสินชี้ขาดอย่างไร ซึ่งต้องรอลุ้นกันต่อไปจนถึงวันที่ศาลพิจารณาตัดสินคดีวันที่ 29 ส.ค. 68”
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ประเทศไทยเวลานี้มีปัญหาหลายเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขทั้งเรื่องความมั่นคงจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งยังอยู่ในช่วงตรึงเครียด แม้จะคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่ง
ขณะที่ประเด็นเรื่องการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าจะมีการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการว่าไทยต้องเสียภาษีที่ระดับ 19% แต่ก็ยังคงเป็นแค่กรอบ ยังมีรายละเอียดเรื่องสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ หรือโลคอลคอนเท้นต์ (Local content)
รวมถึงประเด็นเรื่องสินค้าต้นทางจากประเทศอื่น และถูกส่งมายังประเทศไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งไปยังสหรัฐ (Transshipment) และสินค้าเกษตรที่ยังต้องคุยในรายละเอียดว่าจะมีแนวทางอย่างไร
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ปัจจุบันต้องรอให้สภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบงบประมาณรายจ่าย โดยเอกชนมองว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา การส่งออกสามารถทำได้ดีขยายตัวเป็นบวกได้ถึง 15% แต่ข้อเท็จจริงมาจากการที่ผู้นำเข้าสหรัฐเร่งคำสั่งซื้อช่วงที่ไทยได้รับการผ่อนคลายภาษีนำเข้าอยู่ที่ 10% เพื่อกักตุนสินค้า
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า จากประเด็นปัญหาดังกล่าวหากมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังมีผลต่อความเชื่อมั่นของเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หรือจะเกิดอะไรขึ้นอีก ใครจะมาหรือใครจะไป หลังจากนี้คงต้องลุ้นไปทีละเปราะ และคอยติดตามไปทีละระดับ