โจทย์ใหญ่ผู้ว่าธปท.คนใหม่ ผนึกรัฐบาลฟื้นความเชื่อมั่น
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในอีก 3เดือนข้างหน้า ลดลงจากระดับ 51.9 มาอยู่ที่ระดับ 49.5 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2568 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าพบว่า ดัชนีลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.7 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 28 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตลดลงจาก 61.7 มาอยู่ที่ 60.1 สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคเริ่มมองอนาคตเศรษฐกิจด้วยความไม่มั่นใจมากขึ้น ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในประเทศที่ยังเผชิญภาวะค่าครองชีพสูง การเข้าถึงสินเชื่อที่ลำบาก และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวจากการกลับมาระอุของสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต การส่งออก และการจ้างงานของไทย
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลุทธ์ทิสโก้(TISCO ESU)เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาพบว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายย่อย(MRR) ปรับลดลงมาแค่หนึ่งของดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงแล้วรวม 0.75% ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยของลูกค้ารายย่อยไม่ได้ปรับลดลงมาก
ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนตัวมองว่า เกิดจากธปท.ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนของทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในวันข้างหน้าว่า จะเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาธปท.มักจะบอกว่า ดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นการปรับสมดุล ไม่ใช่เข้าสู่วัฎจักรของการลดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยขาลง
“ธปท.มักจะแทงกั๊กบอกว่า ดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นการปรับสมดุล ยังไม่ใช่เข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง/ลดดอกเบี้ย ทำให้สถาบันการเงินไม่แน่ใจว่า จะลดดดอกเบี้ยในวันข้างหน้าอย่างไร ดังนั้นสถาบันการเงินจึงกั๊กที่จะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกค้าด้วย”
ดังนั้นปัญหาที่ 1 ที่ผู้ว่าธปท.คนใหม่จะต้องพยายามเข้ามาดูแลคือ การส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยนโยบายให้ชัดหรือให้มีฉากทัศน์ที่ชัดเจน เช่น การสื่อสาร/บอกว่า เป็นวงจรของการลดดอกเบี้ยแล้ว หรือถ้าเศรษฐกิจเป็นแบบนี้หรือสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนไปมีความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ย
เพื่อให้การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายแสดงประสิทธิผลได้มากกว่าที่เป็นอยู่มากขึ้น ถ้าส่งสัญญาณได้ชัดแบบนี้ เชื่อว่า น่าจะปรับลดดอกเบี้ย MRR ลงมาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้น
“โจทย์ของธปท.คือ ดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นเครื่องมือหลัก ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เพราะความกังวลของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ความสามารถในการชำระคืนของลูกหนี้ ซึ่งธปท.ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง/รัฐบาลในการหานโยบายประกันสินเชื่อเพื่อเพิ่มปล่อยสินเชื่อ/เพิ่มสภาพคล่องในระบบ”
ดังนั้นโจทย์ของธปท. นอกจากหาเครื่องมือใหม่แล้ว ยังต้องร่วมมือกับระหว่างรัฐบาลดูความเสี่ยงในการประกันแล้ว และต้องสื่อสารทิศทางดอกเบี้ยให้ชัด เช่น เฟดจะมี Dot Plot /เปิดเผยข้อมูลหรือความเห็นของกรรมการแต่ละท่าน จะทำให้นักลงทุน/ตลาด/นักวิเคราะห์สามารถคาดการณ์ได้ง่ายขึ้น และจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลของนโยบายการเงินและการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายดีกว่าที่ควรจะเป็น
ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% อยู่ในจุดที่สูงเกินไป ภายใต้ประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ปีนี้คาดว่า จะอยู่ที่ 1.6% ขณะที่เงินเฟ้ออาจจะอยู่แค่ 0.4% รวมกันทำให้ Nominal GDP โต 2.0% ดอกเบี้ยกินไปแล้ว 1.75% ซึ่งแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้คนทำธุรกิจ TISCO ESU มองดอกเบี้ยนโยบายปีนี้จะลดลงเหลือที่ 1.25% ปีหน้ามีโอกาสจะลดดอกเบี้ยได้ต่ออย่างน้อยควรจะเห็นดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่า 1.00%
สาเหตุมาจาก 3ประเด็นหลักคือ
- เงินเฟ้อของไทย ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อพื้นฐานหรือเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้และปีหน้ายังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธปท. เป็นการเปิดทางให้นโยบายการเงินเข้ามามีบทบาทมากขึ้นได้แล้ว
- การเติบโตของเศรษฐกิจปีหน้าคาดไว้ที่ 1.4% แต่ยังมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก
- ปัญหาหนี้ครัวเรือน จึงควรลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปต่ำกว่า 1.0% เพื่อจะให้มีสภาพคล่องในประเทศที่หมุนเวียนมากขึ้น และเพื่อลดภาระครัวเรือนที่มีความเปราะบางที่ยังเป็นหนี้มาก แล้วไปดูปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นหรือไม่
"วันนี้เรายังมองเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้าเติบโต 1.6% และ 1.4% กรณีแบบนี้การลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งที่สองเดือนธ.ค.ยังเหมาะสม"
แต่หากสมมติเศรษฐกิจแย่ลง/สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป เช่น การผ่านงบประมาณติดขัด ปัญหางบประมาณในประเทศ ปัญหาการเมืองในประเทศ และการเจรจาการค้าไม่มีข้อสรุป-โดยยืดเยื้อออกไป กรณีนี้อาจจะเลื่อนการลดดอกเบี้ยนโยบายมาเป็นเดือนต.ค. ซึ่งผู้ว่าธปท.คนใหม่เข้าสู่ตำแหน่งและเข้าที่ประชุมกนง.ครั้งแรก ผู้ว่าคนใหม่จะ Convince ให้กรรมการกนง.คนอื่นเห็นว่า ควรจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายทันทีได้หรือไม่ จริงๆ ยังมีประเด็นความไม่แน่นอนเรื่องการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเป็นอย่างไร/ หากต้องใช้เวลาเจรจาเพิ่มเติม เศรษฐกิจไทยก็มีความเสี่ยง
สำหรับปัญหาที่2 ความเสี่ยงเรื่องงบดุลของครัวเรือน ณ วันนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของครัวเรือนค่อนข้างด้อยลง สะท้อนความเปราะบางของครัวเรือน ไม่ว่า Stage2 หรือ Stage3 ถ้ารวมกับสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ด้วยคิดเป็นประมาณ 15%ของของสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลขค่อนข้างมาก จึงเป็นประเด็นที่ธนาคารพาณิชย์มีความกังวลในการปล่อยสินเชื่อ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ต้นทุนของสินเชื่อ แต่อยู่ที่ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า แล้วธนาคารต้องมาประคองลูกหนี้
สิ่งเหล่านี้จะกดดันความสามารถในการทำกำไรและส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)ให้บางลงกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากธนาคารต้องตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(ECL) และโอกาสที่ลูกหนี้บางส่วนจะไม่สามารถปฎิบัติตามแผนปรับโครงสร้างหนี้
เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและยังมีปัญหาในประเทศและปัญหาจากต่างประเทศ รวมทั้งสงคราม รวมถึงแนวโน้มของการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกหลายครั้งต่อจากนี้ ดังนั้นภาพของธนาคารคงจะมีอัตรากำไรทั้งกลุ่มโดยรวมลดลงด้วย
“บทบาทของผู้ว่าธปท.ปัญหาแรกคือ ต้องดูแลเรื่องการสื่อสารทิศทางดอกเบี้ยนโยบายหรือมีฉากทัศน์ให้ชัดเจน และดูแลเรื่องสภาพของหนี้ที่ณ วันนี้สะท้อนความเปราะบางของครัวเรือน ไม่ว่าหนี้ในระบบหรือนอกระบบ โดยต้องแก้ทั้งหนี้ที่ส่งกลิ่นหรือกำลังจะขาดสภาพคล่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาชุดใหม่ไหลมาเป็นหนี้เสียเพิ่ม ขณะเดียวกันต้องบริหารจัดการหนี้เก่าควบคู่กันไป”
ขณะที่ภาครัฐเอง สิ่งที่ต้องทำ 2 เรื่อง คือ
- ใช้จ่ายทางการคลังให้เน้นโครงการที่มีตัวทวีคูณทางการคลังหรือทางเศรษฐกิจให้มาก (multiplier effect) เพื่อช่วยให้เม็ดเงินที่ลงไปส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวมีประสิทธิภาพมากกว่าการแจกเงิน
- หาจังหวะรัดเข็มขัด/เก็บรายได้เพิ่มขึ้นช่วยให้รัฐบาลไม่พาหนี้สาธารณะไปสู่เพดานในอัตราที่เร็วจนต้องขยายเพดานหนี้จากอัตรา 70%ของจีดีพี
“ช่วง 2-3ปีนี้ เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากอาจจำเป็นต้องกู้เพื่อชดเชยผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ที่สำคัญรัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ชัดว่า วัตถุประสงค์ของการใช้เงิน/จะนำเงินกู้ไปทำอะไร โดยมีแผนการใช้เงินและแผนชำระคืนที่ชัดเจนก่อนที่จะกู้หรือระดมเงิน”
หากรัฐบาลไม่มีแผนที่ชัดเจน อาจจะนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับเครดิตของประเทศในระยะถัดไป เนื่องจากที่ผ่านสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกอย่าง มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ได้หั่นแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อประเทศไทยเป็น เชิงลบหรือ Negative มาแล้วจากระดับที่มีเสถียรภาพ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,118 วันที่ 31 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568