เอชเอสบีซี เผยบริษัทเอเชียรุกหาโอกาสทางการค้ากับเอเชียใต้ เลี่ยงสงครามการค้า
ธนาคาร เอชเอสบีซี เผย หากความไม่แน่นอนทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป เส้นทางการค้าของบริษัทในภูมิภาคเอเชียอาจเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย 38% ของบริษัทในเอเชียมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการค้ากับภูมิภาคเอเชียใต้มากขึ้น, 36% มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการค้ากับยุโรป และ 33% มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการค้ากับตะวันออกกลาง นอกจากนั้น ยังมีบริษัทในเอเชียวางแผนที่จะลดการค้าไปยังภูมิภาคเมริกาเหนือถึง 28%
ข้อมูลดังกล่าวมาจากผลสำรวจ HSBC Global Trade Pulse 2025 (เอชเอสบีซี โกลบอล เทรด พัลส์ 2025) ซึ่งเผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแผนธุรกิจและมุมมองของบริษัทที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศ 2,750 แห่งที่ตั้งอยู่ใน 7 ตลาดหลักของเอเชียต่อประเด็นภาษีและการค้า โดย 83% ของบริษัทในเอเชียเหล่านี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าทำให้องค์กรต้องกลับมาทบทวนโมเดลธุรกิจในระยะยาว ขณะที่ 81% ระบุว่าความไม่แน่นอนทางการค้า ทำให้องค์กรต้องระมัดระวังมากขึ้นในการขยายธุรกิจและการลงทุน ทั้งนี้ บริษัทในเอเชียยังคาดว่าจะมีรายได้ลดลงเฉลี่ย18% จากความล่าช้าในห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม 87% ของบริษัทในเอเชียยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศในช่วงสองปีข้างหน้า
มร. อดิตยา กาห์เลาต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริการการค้าระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า หลายบริษัทได้ชะลอการใช้จ่ายด้านการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่ ทั้งนี้ การตัดสินใจลงทุนจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นภายในข้ามคืน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ไม่ว่ากระแสการค้า (Trade Flow) จะเคลื่อนย้ายไปทิศทางใด การลงทุนก็มักจะตามมาเสมอ”
จากพลวัตทางการค้าปัจจุบัน บริษัทในเอเชียมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการค้ากับเอเชียใต้ (+26 pp), ตะวันออกกลาง
(+21pp) และยุโรป (+20 pp) ขณะเดียวกันบริษัทในเอเชียมีแนวโน้มที่จะลดการค้ากับอเมริกาเหนือ (-5 pp) (ตารางด้านล่าง)
คำถาม: ในสถานการณ์การค้าในปัจจุบัน คุณจะอธิบายกลยุทธ์การค้าของธุรกิจคุณต่อภูมิภาคและตลาดต่อไปนี้อย่างไร?
ภูมิภาค/ตลาด มีแนวโน้มขยายการค้า มีแนวโน้มลดการค้า ส่วนต่างสุทธิ เอเชียใต้ 38% 12% +26pp ยุโรป 36% 16% +20pp ตะวันออกกลาง 33% 12% +21pp เอเชียเหนือ 30% 13% +17pp อเมริกาเหนือ 23% 28% -5pp
ในช่วงสองปีข้างหน้า 52% ของบริษัทในเอเชียกำลังพิจารณาหรืออยู่ระหว่างดำเนินการย้ายฐานการผลิตหรือเพิ่มกำลังการผลิตไปยังประเทศจีน โดยมีตัวเลขที่ใกล้เคียงกันคือ เอเชียใต้ 39%, ยุโรป 35%, สหรัฐอเมริกา 29% และตะวันออกกลาง 28%
ขณะเดียวกัน ความกังวลหลักของบริษัทในเอเชีย (51%) คือ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการค้า โดย 34% ของบริษัทได้ปรับราคาสินค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว, 51% วางแผนที่จะทำเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ 37% ได้เพิ่มระดับสินค้าคงคลังเพื่อจัดการกับปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน ในขณะที่ 49% วางแผนจะเพิ่มสินค้าคงคลังในลักษณะเดียวกัน
“เงินทุนหมุนเวียนได้กลายเป็นประเด็นหลักที่บริหารระดับสูงของบริษัทลูกค้าของเอชเอสบีซีให้ความสำคัญ เพราะปัจจุบันเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทจำนวนไม่น้อยติดอยู่ในรูปแบบของสินค้าคงคลังหรือบัญชีลูกหนี้ เนื่องจากมีการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าและเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลัง ก่อนที่ภาษีการค้า (Tariffs) จะเริ่มมีผลบังคับใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน อันจะส่งผลให้เกิดการสะสมของสินค้าในฝั่งบริษัทผู้ซื้อ ซึ่งเมื่อภาษีการค้ามีผลบังคับใช้ อาจทำให้คำสั่งซื้อและการขนส่งสินค้าจำนวนมากถูกระงับหรือยกเลิก ซึ่งจะนำไปสู่การสะสมสินค้าคงคลังฝั่งบริษัทที่เป็นผู้จัดหาและสั่งซื้อสินค้าได้” มร. กาห์เลาต์ กล่าวเสริม
ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าในปัจจุบัน บริษัทในเอเชียมองว่าวิธีที่ช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้ดีที่สุด คือ การบริหารจัดการกระแสเงินสดและสภาพคล่อง (61%) รองลงมา คือ การปรับปรุงเงื่อนไขการชำระเงินกับผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ (55%) และการจัดหาเงินทุนผ่านห่วงโซ่อุปทาน (51%) (เพิ่มเติม…)