โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

แบรนด์เนมมือสอง โตแรง! ศก.ทรุด คนรุ่นใหม่แห่ใช้บริการ บิ๊กเนมไทย-ต่างชาติสปีดสาขาเพิ่ม

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ขณะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมที่มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทกลับผลิบานอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะตลาดแบรนด์เนมมือสองที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท และในปีที่ผ่านมามีการเติบโต 10-15% ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดเติบโต เพราะวันนี้แบรนด์เนมมือสองไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้อ-ขายเท่านั้น

แต่ได้ขยายขอบเขตไปสู่บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือที่เรียกว่า "สินเชื่อแบรนด์เนม" กำลังเป็น "ตลาดเกิดใหม่" (Blue Ocean) ที่มีผู้เล่นน้อยราย การแข่งขันต่ำ โอกาสกอบโกยรายได้จึงสูง

สินเชื่อแบรนด์เนม เสริมสภาพคล่อง

นายปพน มนัสภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้หลายภาคส่วนของเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยยังคงมีมูลค่ามหาศาล จากข้อมูลของ Brandname Money ตลาดรวมสินค้าแบรนด์เนมทั้งมือหนึ่งและมือสองในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและกำลังซื้อของคนไทยที่ยังคงให้ความสำคัญกับสินค้าหรูหรา แม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย

ในระดับโลก ตลาดสินค้าหรูมือสอง (Luxury Resale Market) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 6.055 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ (Millennials และ Gen Z) ที่มองหาความคุ้มค่าและความยั่งยืนมากขึ้น สินค้ากลุ่มเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาดมือสอง โดยแพลตฟอร์มออนไลน์มีบทบาทสำคัญคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของช่องทางการจัดจำหน่าย

“การเติบโตของบริษัทนับเป็นภาพสะท้อนที่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริการสินเชื่อแบบ "ขายฝาก" ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มคนมีกำลังซื้อที่ต้องการสภาพคล่องอย่างเร่งด่วนด้วยบริการสินเชื่อที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมเป็นหลักประกัน ชี้ชัดคนมีกำลังซื้อยังคงต้องการสภาพคล่องในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง”

เศรษฐกิจซบ ยอดขายโต

นายปพน กล่าวว่า หลังเปิดตัวบริษัทได้ 1 ปี สามารถทำยอดสินเชื่อรวมได้เกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แสดงให้เห็นถึงดีมานด์ที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มคนมีกำลังซื้อสูงที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ขายฝาก (Pawn/Consignment Loan) 150 ล้านบาท เช่าซื้อ (Leasing) 30 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ต้องการผ่อนชำระสินค้าแบรนด์เนมแบบใช้ไปได้ทันที เสมือนการผ่อนรถยนต์

โดยมีระยะเวลาสูงสุด 3 ปี และดาวน์เริ่มต้นเพียง 30% พร้อมดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.99% ต่อเดือน หรือประมาณ 12% ต่อปี (Flat Rate) และผ่อนจบรับของ (Layaway/Installment Plan) 20 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่สั่งจองสินค้าแบรนด์เนมราคาสูงไว้ แต่ยังไม่มีเงินก้อนครบ เมื่อสินค้ามาถึง สามารถนำมาทำสัญญาผ่อนชำระกับบริษัทได้สูงสุด 10 เดือน โดยลูกค้าจะได้รับสินค้าเมื่อผ่อนชำระครบตามกำหนด

ปพน มนัสภากร

อย่างไรก็ดี โอกาสของตลาดแบรนด์เนมมือสองและการใช้แบรนด์เนมมากู้สินเชื่อนั้น เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเร่งด่วน มักมองหาทางเลือกในการแปลงสินทรัพย์ที่มีค่าให้เป็นเงินสด การนำสินค้าแบรนด์เนมมาเป็นหลักประกันจึงเป็นทางออกที่รวดเร็วและสะดวก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาจเข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร หรือไม่ต้องการขายสินทรัพย์ที่รักทิ้งไป และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและถูกกฎหมาย โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน หรือ 15% ต่อปี ซึ่งถูกกว่าแหล่งเงินกู้นอกระบบที่อาจเรียกเก็บสูงถึง 5-10% ต่อเดือน (หรือ 60-120% ต่อปี) ความเป็นธรรมและโปร่งใสนี้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยมหาศาล

ขณะที่กลุ่มลูกค้ามีทั้งพนักงาน First Jobber ที่มีเงินเดือน 2 หมื่นบาทขึ้นไป จนถึงเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และเจ้าของกิจการที่มีมูลค่าหลักร้อยล้านบาท ลูกค้าเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ครอบคลุมทุกจังหวัด สะท้อนถึงกำลังซื้อในระดับภูมิภาค

โตคู่ออนไลน์-ออฟไลน์

นางสาวธารารัตน์ อนุรัตน์บดี ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง Bagnifique.brandname กล่าวว่า ช่องทางการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ในช่องทางโซเชียลมีเดีย ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมมากขึ้น จึงทำให้เกิดการตกลงซื้อขายกันได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีการนำสินค้าแบรนด์เนมออกมาขายเป็น used หรือสินค้ามือสองเพื่อสร้างสภาพคล่องทางการเงินหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดให้กับเจ้าของหรือผู้ครอบครองได้ง่าย

การเติบโตและโอกาสของธุรกิจแบรนด์เนมมือสอง ทำให้มีผู้ประกอบการเกิดขึ้นในตลาดต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มโลคัล ที่เริ่มต้นจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ และรายใหญ่อย่างสยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง กลุ่มธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่เปิดตัว “Circular of Lux” ศูนย์กลางการให้บริการส่งต่อและแลกเปลี่ยนสินค้าลักชัวรีแบรนด์ให้กับลูกค้าประจำของสยามพารากอนและไอคอนสยาม รวมถึง “2nd STREET” ร้านรียูสชื่อดังที่มีมากกว่า 1,000 สาขาในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็เข้ามาเปิดสาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ในปีที่ผ่านมาด้วย

ขณะที่เครือสหพัฒน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกร้านแบรนด์เนมมือสอง ด้วยการจับมือกับกลุ่ม KOMEHYO จากญี่ปุ่น เปิดตัว “โคเมเฮียว” (KOMEHYO) ศูนย์รวมแบรนด์เนมมือสองชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่จับมือกับเครือสหพัฒน์ เมื่อ 6 ปีก่อน พร้อมขยายสาขาต่อเนื่องจนปัจจุบันมีสาขารวม 5 แห่ง ล่าสุดยังจับมือกับ RAGTAG (แร็กแท็ก) ยักษ์ใหญ่แบรนด์เนมในประเทศญี่ปุ่น เปิดร้าน RAGTAG เชนร้านแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรีมือสอง ถือเป็นอีกเซกเม้นท์ ที่แตกต่างจากโคเมเฮียว ที่เน้นนาฬิกา เครื่องประดับกลุ่มลักชัวรี

นายฮายาโตะ โมเทกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร RAGTAG ให้เหตุผลว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดสินค้ามือสองกลับเป็นโอกาสสำคัญ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มรัดเข็มขัดและมองหาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยการร่วมทุนกับไอ.ซี.ซีฯ ในเครือสหกรุ๊ป ครั้งนี้ จึงใช้งบลงทุนสูงถึง 18 ล้านบาทในการเปิดให้บริการสาขาแรกที่ One Bangkok

นายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ผู้ให้บริการ “อีซี่มันนี่” กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในปีนี้เติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์ที่เป็นทองคำและของมีค่ารายย่อย เช่น นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม สินค้าไอที โดยอีซี่มันนี่เองเห็นการเติบโตของมูลค่ารับจำนำเพิ่มขึ้น สะท้อนความต้องการสภาพคล่องที่เข้าถึงง่ายยังมีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยจำนวนมาก

“ปัจจัยบวกครึ่งปีหลังคือ คนเริ่มมองโรงรับจำนำเป็นเครื่องมือทางการเงินไม่ใช่แค่ที่พึ่งยามเดือดร้อน และมีความคุ้นเคยกับอีซี่มันนี่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานอิสระหรือ SME และคนรุ่นใหม่ ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการ อีซี่มันนี่ปัจจุบันมีความหลากหลาย มีความต้องการของกลุ่มเฉพาะกลุ่มใหม่ที่ต้องการเงินด่วนและไม่ซับซ้อน”

New Gen หนุนรีเซลล์ทั่วโลกโต

รายงาน “ตลาดสินค้าหรูมือสอง วิเคราะห์ตามประเภทสินค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย ขนาดตลาด และแนวโน้มตามภูมิภาค – คาดการณ์ถึงปี 2029” จาก ResearchAndMarkets.com ระบุว่า ตลาดสินค้าหรูมือสองทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 3.439 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.055 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 เติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 10% ระหว่างปี 2567 – 2572

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดมาจากกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะมิลเลนเนียลและเจเนอเรชัน Z ซึ่งมีพฤติกรรมบริโภคที่เน้นการเข้าถึงแบรนด์หรูในราคาที่จับต้องได้ ประกอบกับการตระหนักถึงปัญหาจากแฟชั่นรวดเร็ว ความมั่งคั่งของกลุ่ม HNWI (ผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High Net Worth Individuals บุคคลที่มีสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิ (net financial assets) ตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป) ที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของเมือง

การเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านการขายต่อ รวมถึงความนิยมของแฟชั่นแบบคอลเลกชันแคปซูล และแฟชั่นดรอป ช่วยสนับสนุนให้การรีเซลล์กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบความแท้ของสินค้า มีบริการจัดส่ง และประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

แพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง The RealReal, ThredUp, Vestiaire Collective, Fashionphile, Farfetch, และ Yoogi’s Closet ต่างเข้ามามีบทบาทในตลาดนี้มากขึ้น และยังมีแนวโน้มเกิดการควบรวมกิจการ การจับมือเชิงกลยุทธ์ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่างทางการตลาด เช่น Augmented Reality (AR) ที่ใช้แสดงสินค้าในบริบทจริงของผู้ซื้อ และ Blockchain สำหรับตรวจสอบความแท้ของสินค้า

รายงานยังชี้ให้เห็นแนวโน้มการจับมือกันระหว่างแบรนด์หรูกับแพลตฟอร์มขายต่อ เช่น ความร่วมมือระหว่าง Gucci และ The RealReal เมื่อปี 2020 เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและสร้างจุดขายใหม่ให้กับสินค้าแบรนด์หรูในตลาดรอง

แม้จะมีปัจจัยบวกหลายด้าน แต่ตลาดยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ เช่น ความแพร่หลายของสินค้าปลอมที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความซับซ้อนของกระบวนการคืนสินค้า และปัญหาด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์หรูในตลาดมือสอง

รายงานฉบับนี้ครอบคลุมการวิเคราะห์ตลาดตามประเภทสินค้า ช่องทางจำหน่าย และภูมิภาคหลักทั้งยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก และภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว บริษัทที่ถูกระบุในรายงาน ได้แก่ The RealReal, ThredUp, Farfetch, Alibaba (Idle Fish), Yoogi’s Closet, Vestiaire Collective, Fashionphile, The Luxury Closet, Luxepolis, Timepiece360, Garderobe และ Inseller

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

“กัลฟ์” มอบ 18 ล้านหนุน รพ.จุฬาฯ จัดหาเทคโนโลยีส่องกล้อง ทำลายเนื้องอกตับอ่อน

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “อดิศักดิ์ ตันติวงศ์” ประธานศาลฎีกาคนใหม่

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“สรรเพชญ“แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขภาษีสหรัฐอย่างรอบด้าน

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กต.-ศบ.ทก. แถลงสถานการณ์สงบ ไทยเดินหน้าประชุม GBC กับกัมพูชา 4-7 ส.ค.

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

ฮิวแมนิก้า’ ผนึกกำลัง พาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ. เสริมศักยภาพบุคลากรการแพทย์ไทย

MATICHON ONLINE

เอ็มเค บุฟเฟ่ต์ ดึงลูกค้าเก่ากลับมาพุ่ง 370%

Manager Online

กรมส่งเสริมการค้าฯ จับมือ 3 แพลตฟอร์มพันธมิตรโครงการร้าน TOPTHAI บุกอีสาน

เดลินิวส์

Indy Arp Café แฟรนไชส์กาแฟอินดี้ ให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโดยไม่ต้องลองผิดลองถูก

SMART SME

Broker ranking 1 Aug 2025

Manager Online

หอการค้าฯถกร่วมพาณิชย์ ชง 4 ข้อเสนอรับมือผลกระทบภาษีสหรัฐ

The Better

ทรัมป์เรียกร้องให้คณะกรรมการเฟด ถอดถอนพาวเวลล์จากตำแหน่งประธาน

JS100

SET เดือน ส.ค. ลุ้น 1,300 จุด รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...