แบรนด์เนมมือสอง โตแรง! ศก.ทรุด คนรุ่นใหม่แห่ใช้บริการ บิ๊กเนมไทย-ต่างชาติสปีดสาขาเพิ่ม
ขณะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมที่มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทกลับผลิบานอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะตลาดแบรนด์เนมมือสองที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท และในปีที่ผ่านมามีการเติบโต 10-15% ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดเติบโต เพราะวันนี้แบรนด์เนมมือสองไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้อ-ขายเท่านั้น
แต่ได้ขยายขอบเขตไปสู่บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือที่เรียกว่า "สินเชื่อแบรนด์เนม" กำลังเป็น "ตลาดเกิดใหม่" (Blue Ocean) ที่มีผู้เล่นน้อยราย การแข่งขันต่ำ โอกาสกอบโกยรายได้จึงสูง
สินเชื่อแบรนด์เนม เสริมสภาพคล่อง
นายปพน มนัสภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้หลายภาคส่วนของเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยยังคงมีมูลค่ามหาศาล จากข้อมูลของ Brandname Money ตลาดรวมสินค้าแบรนด์เนมทั้งมือหนึ่งและมือสองในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและกำลังซื้อของคนไทยที่ยังคงให้ความสำคัญกับสินค้าหรูหรา แม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
ในระดับโลก ตลาดสินค้าหรูมือสอง (Luxury Resale Market) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 6.055 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ (Millennials และ Gen Z) ที่มองหาความคุ้มค่าและความยั่งยืนมากขึ้น สินค้ากลุ่มเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาดมือสอง โดยแพลตฟอร์มออนไลน์มีบทบาทสำคัญคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของช่องทางการจัดจำหน่าย
“การเติบโตของบริษัทนับเป็นภาพสะท้อนที่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริการสินเชื่อแบบ "ขายฝาก" ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มคนมีกำลังซื้อที่ต้องการสภาพคล่องอย่างเร่งด่วนด้วยบริการสินเชื่อที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมเป็นหลักประกัน ชี้ชัดคนมีกำลังซื้อยังคงต้องการสภาพคล่องในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง”
เศรษฐกิจซบ ยอดขายโต
นายปพน กล่าวว่า หลังเปิดตัวบริษัทได้ 1 ปี สามารถทำยอดสินเชื่อรวมได้เกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แสดงให้เห็นถึงดีมานด์ที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มคนมีกำลังซื้อสูงที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ขายฝาก (Pawn/Consignment Loan) 150 ล้านบาท เช่าซื้อ (Leasing) 30 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ต้องการผ่อนชำระสินค้าแบรนด์เนมแบบใช้ไปได้ทันที เสมือนการผ่อนรถยนต์
โดยมีระยะเวลาสูงสุด 3 ปี และดาวน์เริ่มต้นเพียง 30% พร้อมดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.99% ต่อเดือน หรือประมาณ 12% ต่อปี (Flat Rate) และผ่อนจบรับของ (Layaway/Installment Plan) 20 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่สั่งจองสินค้าแบรนด์เนมราคาสูงไว้ แต่ยังไม่มีเงินก้อนครบ เมื่อสินค้ามาถึง สามารถนำมาทำสัญญาผ่อนชำระกับบริษัทได้สูงสุด 10 เดือน โดยลูกค้าจะได้รับสินค้าเมื่อผ่อนชำระครบตามกำหนด
อย่างไรก็ดี โอกาสของตลาดแบรนด์เนมมือสองและการใช้แบรนด์เนมมากู้สินเชื่อนั้น เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเร่งด่วน มักมองหาทางเลือกในการแปลงสินทรัพย์ที่มีค่าให้เป็นเงินสด การนำสินค้าแบรนด์เนมมาเป็นหลักประกันจึงเป็นทางออกที่รวดเร็วและสะดวก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาจเข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร หรือไม่ต้องการขายสินทรัพย์ที่รักทิ้งไป และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและถูกกฎหมาย โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน หรือ 15% ต่อปี ซึ่งถูกกว่าแหล่งเงินกู้นอกระบบที่อาจเรียกเก็บสูงถึง 5-10% ต่อเดือน (หรือ 60-120% ต่อปี) ความเป็นธรรมและโปร่งใสนี้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยมหาศาล
ขณะที่กลุ่มลูกค้ามีทั้งพนักงาน First Jobber ที่มีเงินเดือน 2 หมื่นบาทขึ้นไป จนถึงเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และเจ้าของกิจการที่มีมูลค่าหลักร้อยล้านบาท ลูกค้าเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ครอบคลุมทุกจังหวัด สะท้อนถึงกำลังซื้อในระดับภูมิภาค
โตคู่ออนไลน์-ออฟไลน์
นางสาวธารารัตน์ อนุรัตน์บดี ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง Bagnifique.brandname กล่าวว่า ช่องทางการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ในช่องทางโซเชียลมีเดีย ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมมากขึ้น จึงทำให้เกิดการตกลงซื้อขายกันได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีการนำสินค้าแบรนด์เนมออกมาขายเป็น used หรือสินค้ามือสองเพื่อสร้างสภาพคล่องทางการเงินหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดให้กับเจ้าของหรือผู้ครอบครองได้ง่าย
การเติบโตและโอกาสของธุรกิจแบรนด์เนมมือสอง ทำให้มีผู้ประกอบการเกิดขึ้นในตลาดต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มโลคัล ที่เริ่มต้นจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ และรายใหญ่อย่างสยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง กลุ่มธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่เปิดตัว “Circular of Lux” ศูนย์กลางการให้บริการส่งต่อและแลกเปลี่ยนสินค้าลักชัวรีแบรนด์ให้กับลูกค้าประจำของสยามพารากอนและไอคอนสยาม รวมถึง “2nd STREET” ร้านรียูสชื่อดังที่มีมากกว่า 1,000 สาขาในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็เข้ามาเปิดสาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ในปีที่ผ่านมาด้วย
ขณะที่เครือสหพัฒน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกร้านแบรนด์เนมมือสอง ด้วยการจับมือกับกลุ่ม KOMEHYO จากญี่ปุ่น เปิดตัว “โคเมเฮียว” (KOMEHYO) ศูนย์รวมแบรนด์เนมมือสองชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่จับมือกับเครือสหพัฒน์ เมื่อ 6 ปีก่อน พร้อมขยายสาขาต่อเนื่องจนปัจจุบันมีสาขารวม 5 แห่ง ล่าสุดยังจับมือกับ RAGTAG (แร็กแท็ก) ยักษ์ใหญ่แบรนด์เนมในประเทศญี่ปุ่น เปิดร้าน RAGTAG เชนร้านแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรีมือสอง ถือเป็นอีกเซกเม้นท์ ที่แตกต่างจากโคเมเฮียว ที่เน้นนาฬิกา เครื่องประดับกลุ่มลักชัวรี
นายฮายาโตะ โมเทกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร RAGTAG ให้เหตุผลว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดสินค้ามือสองกลับเป็นโอกาสสำคัญ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มรัดเข็มขัดและมองหาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยการร่วมทุนกับไอ.ซี.ซีฯ ในเครือสหกรุ๊ป ครั้งนี้ จึงใช้งบลงทุนสูงถึง 18 ล้านบาทในการเปิดให้บริการสาขาแรกที่ One Bangkok
นายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ผู้ให้บริการ “อีซี่มันนี่” กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในปีนี้เติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์ที่เป็นทองคำและของมีค่ารายย่อย เช่น นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม สินค้าไอที โดยอีซี่มันนี่เองเห็นการเติบโตของมูลค่ารับจำนำเพิ่มขึ้น สะท้อนความต้องการสภาพคล่องที่เข้าถึงง่ายยังมีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยจำนวนมาก
“ปัจจัยบวกครึ่งปีหลังคือ คนเริ่มมองโรงรับจำนำเป็นเครื่องมือทางการเงินไม่ใช่แค่ที่พึ่งยามเดือดร้อน และมีความคุ้นเคยกับอีซี่มันนี่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานอิสระหรือ SME และคนรุ่นใหม่ ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการ อีซี่มันนี่ปัจจุบันมีความหลากหลาย มีความต้องการของกลุ่มเฉพาะกลุ่มใหม่ที่ต้องการเงินด่วนและไม่ซับซ้อน”
New Gen หนุนรีเซลล์ทั่วโลกโต
รายงาน “ตลาดสินค้าหรูมือสอง วิเคราะห์ตามประเภทสินค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย ขนาดตลาด และแนวโน้มตามภูมิภาค – คาดการณ์ถึงปี 2029” จาก ResearchAndMarkets.com ระบุว่า ตลาดสินค้าหรูมือสองทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 3.439 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.055 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 เติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 10% ระหว่างปี 2567 – 2572
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดมาจากกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะมิลเลนเนียลและเจเนอเรชัน Z ซึ่งมีพฤติกรรมบริโภคที่เน้นการเข้าถึงแบรนด์หรูในราคาที่จับต้องได้ ประกอบกับการตระหนักถึงปัญหาจากแฟชั่นรวดเร็ว ความมั่งคั่งของกลุ่ม HNWI (ผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High Net Worth Individuals บุคคลที่มีสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิ (net financial assets) ตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป) ที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของเมือง
การเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านการขายต่อ รวมถึงความนิยมของแฟชั่นแบบคอลเลกชันแคปซูล และแฟชั่นดรอป ช่วยสนับสนุนให้การรีเซลล์กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบความแท้ของสินค้า มีบริการจัดส่ง และประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
แพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง The RealReal, ThredUp, Vestiaire Collective, Fashionphile, Farfetch, และ Yoogi’s Closet ต่างเข้ามามีบทบาทในตลาดนี้มากขึ้น และยังมีแนวโน้มเกิดการควบรวมกิจการ การจับมือเชิงกลยุทธ์ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่างทางการตลาด เช่น Augmented Reality (AR) ที่ใช้แสดงสินค้าในบริบทจริงของผู้ซื้อ และ Blockchain สำหรับตรวจสอบความแท้ของสินค้า
รายงานยังชี้ให้เห็นแนวโน้มการจับมือกันระหว่างแบรนด์หรูกับแพลตฟอร์มขายต่อ เช่น ความร่วมมือระหว่าง Gucci และ The RealReal เมื่อปี 2020 เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและสร้างจุดขายใหม่ให้กับสินค้าแบรนด์หรูในตลาดรอง
แม้จะมีปัจจัยบวกหลายด้าน แต่ตลาดยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ เช่น ความแพร่หลายของสินค้าปลอมที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความซับซ้อนของกระบวนการคืนสินค้า และปัญหาด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์หรูในตลาดมือสอง
รายงานฉบับนี้ครอบคลุมการวิเคราะห์ตลาดตามประเภทสินค้า ช่องทางจำหน่าย และภูมิภาคหลักทั้งยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก และภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว บริษัทที่ถูกระบุในรายงาน ได้แก่ The RealReal, ThredUp, Farfetch, Alibaba (Idle Fish), Yoogi’s Closet, Vestiaire Collective, Fashionphile, The Luxury Closet, Luxepolis, Timepiece360, Garderobe และ Inseller