ทำไม ‘สี จิ้นผิง’ กล้าสร้างเขื่อนยักษ์ ลงทุนครั้งนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจจีนแค่ไหน?
ในเดือนนี้ “จีน” ได้เริ่มเดินหน้าก่อสร้างโครงการสำคัญ คือ “เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ” ที่คาดว่าจะเป็นเมกะโปรเจกต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในพื้นที่ภูเขาของเขตปกครองตนเองทิเบต ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนมหาศาลถึง 167,000 ล้านดอลลาร์ และอาจใช้เวลาสร้างไม่ต่ำกว่า 10 ปี
โครงการนี้นับเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญสำหรับประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เพื่อหวังจะฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน, กระชับการควบคุมในพื้นที่ทิเบตที่ยังคงตึงเครียด และขยายอิทธิพลของจีนให้ไกลเกินขอบเขตประเทศ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่จีนจะยอมกับความกังวลที่ว่าการก่อสร้างอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมากมาย
คนจีนมีแนวคิดที่เชื่อว่า “การก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถ จุดประกายการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ซึ่งตอนนี้จีนเองก็กำลังเผชิญกับปัญหาเงินฝืด, วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อมานานหลายปี, และแรงกดดันทางการค้า รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สี จิ้นผิง สามารถใช้สำหรับการเพิ่มอำนาจควบคุมของรัฐ ในการ รวมทิเบตเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ผ่านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
จีนเดินเกมเก่า สร้างเขื่อนยักษ์หวังกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ จีนเคยมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่มาแล้ว อย่างเช่น “เขื่อนสามผา” ที่ใช้งบประมาณ 37,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเคยถูกยกให้เป็นมาตรฐานของความทะเยอทะยาน
สิ่งที่น่าสนใจคือ โครงการเขื่อนแห่งใหม่นี้กำลังถูกสร้างขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอนเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา
โดมินิก อาเฮียกา-ดักบูย ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเมกะโปรเจกต์ส มหาวิทยาลัยดีกิน ในออสเตรเลีย เชื่อว่าจีนกำลังทำแบบเดียวกันกับทศวรรษ 1990 ที่เคยหันมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างเขื่อนครั้งนี้จึงเป็นการใช้กลยุทธ์เดิมเพื่อดูดซับกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมและสร้างงาน
รัฐบาลปักกิ่งเริ่มเสนอแผนการสร้างเขื่อนนี้อย่างชัดเจนครั้งแรกในปี 2021 ภายใต้แผนห้าปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำบนที่ราบสูงทิเบตอย่างเต็มที่ กลยุทธ์นี้ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
แต่ทว่าการเปิดตัวโครงการที่เงียบเชียบก็สร้างความกังวลไม่น้อย เพราะสำหรับโครงการที่ใหญ่ขนาดนี้ กลับแทบไม่มีการพูดคุยในที่สาธารณะเลย และหากมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือแผนการย้ายถิ่นฐาน ก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับการอนุมัติแบบลับ ๆ เช่นกัน
เขื่อนยักษ์ ‘กระตุ้นความต้องการ-สร้างงาน’ ดีต่อเศรษฐกิจ
การสร้างเขื่อนในครั้งนี้จะสร้างความต้องการวัตถุดิบมหาศาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงบวกอย่างแน่นอน เพราะจะต้องใช้ ชปูนซีเมนต์มากถึง 50 ล้านตัน, เหล็กกล้า 6 ล้านตัน, ทรายและหินรวม 250 ล้านตัน, ทองแดง 500,000 ตัน และ วัตถุระเบิดอีกหลายแสนตัน
นอกจากนี้ สภาพอากาศที่เลวร้ายบนที่ราบสูงทิเบตอาจทำให้วัสดุสิ้นเปลือง เช่น ดอกสว่านสึกหรอเร็วขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนวัสดุยิ่งสูงขึ้นไปอีก นี่จึงเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อ “กระตุ้นความต้องการ” ในช่วงที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนกำลังลดลง
ดังนั้น โครงการเขื่อนยักษ์นี้อาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนรวมสูงถึง 3 ล้านล้านหยวน ในช่วง 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2.2% ของ GDP ของปีที่แล้ว อ้างอิงจากข้อมูลของ Huachuang Securities Co. บริษัทหลักทรัพย์ของจีน ซึ่งตัวเลขนี้ยังสูงกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ล่าสุดอย่างการแก้ไขงบประมาณกลางปี 2566 ที่อัดฉีดเงินเข้าไป 1 ล้านล้านหยวน
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะช่วยให้ GDP ของจีนเติบโตเพิ่มขึ้น 0.1 ถึง 0.2 % ต่อปี จากการคาดการณ์ของหลายสถาบัน เช่น Citigroup Inc. และ Australia & New Zealand Banking Group Ltd.
รวมถึง Zheshang Securities Co. ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์อีกแห่งหนึ่ง ประเมินว่าโครงการนี้จะ สร้างงานได้ประมาณ 200,000 ตำแหน่งต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับเกือบ 2% ของเป้าหมายการสร้างงานใหม่ประจำปีล่าสุดของจีนเลยทีเดียว
ราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง เมื่อเขื่อนยักษ์เริ่มต้น
เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศโครงการเขื่อนยักษ์นี้ ราคาหุ้นของ Power Construction Corp. บริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลจีนพุ่งขึ้นกว่า 42% ขณะที่ China Energy Engineering บริษัทก่อสร้างและวิศวกรรมพลังงานยักษ์ใหญ่ของจีนก็เพิ่มขึ้น 17% ในตลาดเซี่ยงไฮ้ ส่วนหุ้นของ Huaxin Cement Co. บริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ก็พุ่งขึ้น 34% ในฮ่องกง
Morgan Stanley ชี้ว่าโรงงานของบริษัทในทิเบตตั้งอยู่ห่างจากพื้นที่ก่อสร้างเพียง 400 กิโลเมตร จึงน่าจะได้รับประโยชน์สูงสุด ด้านราคา สินค้าโภคภัณฑ์ ก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดย ราคาแร่เหล็กทะยานขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
โครงสร้างพื้นฐาน กลยุทธ์ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
โครงการสร้างเขื่อนยักษ์นี้ได้จุดประกายความหวังว่าจะมี โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อื่นๆ ตามมาอีก นักวิเคราะห์บางคนมองว่า โครงการก่อสร้างใหญ่ๆ เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลจีนในการควบคุม “สงครามราคา” ในภาคอุตสาหกรรม และช่วยให้จีนหลุดพ้นจาก “ภาวะเงินฝืดเรื้อรัง”
ซิง จ้าวเผิง นักวิเคราะห์อาวุโสจากธนาคารกลางออสเตรเลีย (ANZ) ชี้ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในแผนห้าปีฉบับที่ 15 ซึ่งกินเวลานาน 4 ปี ซึ่งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ 2 อย่างในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายก็เตือนว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่านี่คือความตั้งใจจริงของรัฐบาลจีนหรือไม่ เพราะจีนเองก็กำลังทบทวนเรื่องการลงทุนที่สิ้นเปลืองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทางหลวงที่ไม่มีรถวิ่ง หรือสนามบินที่แทบไม่มีการใช้งาน หลังจากที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วโดยอาศัยหนี้สินมานานหลายปี ทั้งนี้