พระชื่อดังฟ้องธนาคารเรียกเงินมูลนิธิฯ คืน 1,300 ล้านบาท
(27 มิ.ย. 68) พระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ในฐานะเลขานุการมูลนิธิหลวงปู่ศรี มหาวีโร ให้ทีมกฎหมายเอาผิดกับธนาคารชื่อดัง ฐานไม่ยอมคืนเงินของมูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ธนาคารอนุมัติเบิกจ่ายเงินโดยมิชอบ คือนำไปจ่ายค่าประกันชีวิตกว่า 270 กรมธรรม์ และนำไปซื้อกองทุนธนาคารของเครือข่ายธนาคาร(ที่ถูกฟ้อง) สร้างความเสียหายให้กับ 2 มูลนิธิกว่า 1,354,000,000 บาท
ทั้งนี้ มี 2 โจทก์ที่ยื่นฟ้องธนาคารชื่อดัง คือ
1. มูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร
2. มูลนิธิอนุสรณ์พระกฐินต้น
โดยมูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร โจทก์ที่ 1 ได้ฟ้องขอเงินต้นคืน เป็นเงิน 752,045,117.24 บาท และฟ้องขอดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 348,730,312.20 บาท (คิดตั้งแต่วันที่เงินจำนวนนั้น ๆ ถูกถอนออกไปจนถึงวันฟ้อง) และฟ้องค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ (คำนวณจากดอกเบี้ยพันธบัตรคาดว่าจะได้รับถ้าไม่มีการถอนเงินออกไปโดยมิชอบ) จำนวน 144,300,000 บาท รวมทั้งสิ้น 1,245,075,429.44 บาท
ส่วนโจทก์ที่ 2 คือ มูลนิธิอนุสรณ์พระกฐินต้น ฟ้องเรียกเงินต้นคืนจำนวน 68,989,449.32 บาท และฟ้องเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย จำนวน 30,483,312.20 บาท (คิดตั้งแต่วันที่เงินจำนวนนั้น ๆ ถูกถอนออกไป คิดจนถึงวันฟ้อง) และฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ (คำนวณจากดอกเบี้ยพันธบัตรคาดว่าจะได้รับถ้าไม่มีการถอนเงินออกไปโดยมิชอบ) จำนวน 9,750,000 บาท รวมทั้งสิ้น 109,222,635.46 บาท
รวมเงินของทั้ง 2 มูลนิธิ ฟ้องเรียกเงินคืนจากธนาคารชื่อดัง เป็นเงิน 1,354,298,064.91 บาท
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ พระปัญญาวชิรโมลี นพพร ที่เดินทางกลับมาจากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เดินทางกลับถึงประเทศไทย พระปัญญาวชิรโมลีให้ข้อมูลว่า เดิมทีมูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร และมูลนิธิอนุสรณ์พระกฐินต้น ซึ่ง 2 มูลนิธินี้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ก่อตั้งโดยอาจารย์ศรี มหาวีโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ก่อตั้งมา 50 ปี จึงทำให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วโลก
ทางมูลนิธิได้ตั้งพระ 16 รูป และ ฆราวาสอีก 4 ท่าน เข้ามาเป็นกรรมการ ดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินต่าง ๆ ของมูลนิธิ
ต่อมาอาจารย์ศรี มหาวีโร มรณภาพลงเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ทางคณะกรรมการจึงประชุมลงความเห็นกันว่า ให้พระอาวุโส 3 รูป เป็นผู้อนุมัติเซ็นอนุมัติเบิกจ่ายเงินในบัญชีได้ (การถอนแต่ละครั้งต้องมีลายเซ็นพระสามรูปนี้พร้อมกัน) โดยทุกครั้งที่จะนำเงินของมูลนิธิออกไปทำอะไร จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการทั้งหมด จะเปิดประชุมได้ก็ต่อเมื่อมีพระเข้าร่วมครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการ แต่ตั้งแต่ปี 2556 มาจนถึงทุกวันนี้ (14 ปี) ไม่มีการเรียกประชุมเรื่องเอาเงินมาซื้อประกันแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ตนผิดสังเกต จึงขอตรวจสอบเงินฝากของมูลนิธิ เหลือเพียง 48,000 กว่าบาท ทั้งที่ปี 2557 มีเงินอยู่ประมาณ 803,000,000 บาท
ตนจึงทำการสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีการเอาเงินจากมูลนิธิทั้ง 2 มูลนิธิไปทำประกันชีวิตให้พระและญาติโยมหลายร้อยท่าน โดยมีผู้รับผลประโยชน์เป็นชื่อของมูลนิธิ และมีการนำเงินมูลนิธิไปลงทุนกับธนาคาร และมีการนำธนบัตรของมูลนิธิไปขายขาดทุนอีก ทั้งนี้มีการปลอมลายเซ็นผู้มีอำนาจเบิกงาน และปลอมลายเซ็นผู้ซื้อประกัน
หลังได้ข้อมูลละเอียด ตนก็มีการทวงเงินคืนจากธนาคารเรื่อยมา แต่ทางธนาคารก็ปฏิเสธการคืนเงิน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ตนกับฝ่ายกฎหมายจึงฟ้องศาลจังหวัดร้อยเอ็ดเรียกเงินคืน โดยศาลได้เห็นว่าคดีมีมูล และรับฟ้องเป็นคดีคุ้มครองผู้บริโภคเรียบร้อยแล้ว