‘Squid Game 3’ กับการทิ้งทวนความเป็นมนุษย์ท่ามกลางเกมเล่นลุ้นตาย
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของSquid Game 3
Squid Game ถือเป็นซีรีส์ที่คนทั้งโลกจับจ้อง ด้วยความนิยมถล่มทลายจากซีซั่น 1 ในปี 2021 จนทำให้ความคาดหวังต่อซีซั่นที่ตามมานั้นสูงลิบลิ่ว อย่างไรก็ตาม ซีซั่น 2 ในปี 2024 เหมือนจะเป็นแค่บทปูทางไปสู่ซีซั่น 3 ซึ่งที่จริงก็ถ่ายทำพร้อมกัน แต่ผู้กำกับแบ่งเป็น 2 ซีซั่น เพื่อไม่ให้จำนวนตอนมากเกินไป ดังนั้น ซีซั่นสุดท้ายอย่างซีซั่น 3 จึงเป็นการเดิมพันขั้นสูง ที่อาจจะเป็นบทสรุปอันน่าประทับใจ หรือการปิดฉากอันน่าผิดหวังก็ได้
เท่าที่ผู้เขียนกวาดตาผ่านกระแสตอบรับอย่างคร่าวๆ Squid Game 3 ไม่ถึงขั้นถูกด่าสาดเสียเทเสีย ส่วนใหญ่ไปทางสนุกแบบกลางๆ มากกว่า แต่ที่เห็นตรงกันแทบเอกฉันท์คือ “มันสนุกสู้ซีซั่นแรกไม่ได้” บ้างก็ว่าซีรีส์นี้ควรมีแค่ซีซั่นเดียวด้วยซ้ำ (ซึ่งผู้กำกับเขาก็ตั้งใจแบบนั้น)
เหตุแห่งความไม่สนุกเท่าที่ควรอาจมาจากเกมใน ซีซั่น 3 ที่ไม่ตื่นเต้นเร้าใจนัก อย่างเกมเล่นซ่อนหาที่วิ่งไปวิ่งมาลากยาวกันไปเรื่อย แม้เกมกระโดดเชือกอาจจะสนุกขึ้นหน่อย จนไม่แปลกใจว่าทำไมพีอาร์ถึงเลือกเอาเกมนี้ไปทำเป็นอีเวนต์ทั่วโลกรวมถึงในไทย ส่วนเกมสุดท้ายที่ให้ผลักอีกฝ่ายตกเหว ก็เน้นเจรจาพูดคุย ชิงไหวพริบเชิงจิตวิทยา ไม่ได้มีแอ็กชั่นตูมตามอะไรนัก
นอกจากเกมที่ไม่ค่อยว้าวแล้ว ยังมีหลายองค์ประกอบที่คนดูรู้สึกอิหยังวะหรือรำคาญ เช่น พระเอกอย่าง กีฮุน ที่อยู่ดีๆ ก็ตามไล่ฆ่าหมายเลข 388 (แม้จะพอเข้าใจได้อยู่ว่าในเกมนี้ยากต่อการครองสติ) หรือฉากที่รองหัวหน้ามัวแต่พูดพล่ามอะไรไปเรื่อย จนถูกทหารหมายเลข 11 สอยเอาซะงั้น แต่ที่ถูกล้อหนักสุดน่าจะเป็นนักสืบฮวังจุนโฮที่ขับเรือหาเกาะซึ่งเป็นพื้นที่เล่นเกมนี้ไป 2 ซีซั่น และพอหาเจอก็ได้แต่มายืนตะโกนว่า “พี่!” แล้วหนีออกมา เล่นเอาคนดูเกาหัวแกรกๆ
หรือคนดูบางส่วนอาจคาดหวังว่า อีพีสุดท้ายน่าจะเป็นฉากที่พระเอก นักสืบฮวัง ทหารหมายเลข 11 หรือตำรวจ ร่วมมือกันถล่มเกาะที่เล่นเกมให้สิ้นซาก แต่กลับไม่ปรากฏฉากเหล่านั้นเลย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าผู้กำกับจงใจ นอกจากสื่อว่าเกมจะอยู่ต่อไปแล้ว กีฮุนก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เขาไม่ใช่พวกเหนือมนุษย์แบบสายลับ อีธาน ฮันต์ ใน Mission: Impossible แม้จะประกาศกร้าวว่า ตัวเขากลับมาเล่นเกมเพื่อทำลายระบบของมัน แต่สุดท้ายเขาก็ได้แค่ล้อเล่นกับระบบ ไม่อาจเอาชนะมันได้อยู่ดี
ผู้เขียนคิดว่า สิ่งเป็นหัวใจสำคัญของซีซั่น 3 ไม่ใช่ความตื่นเต้นของเกม หรือการแข่งขันเอาเงินรางวัลอีกต่อไป แต่กลายเป็นเกมระหว่างกีฮุนกับฟรอนต์แมน (อย่างที่เห็นว่าโปสเตอร์เวอร์ชันสุดท้ายจะเป็นภาพ 2 คนนี้) กล่าวคือ ฟรอนต์แมนเกิดสงสัยว่าทำไมคนอย่างกีฮุนถึงมีความเชื่อนอกกรอบของเกม หรือจะเรียกว่าเป็น Bug ก็ได้ ฟรอนต์แมนจึงพยายามบีบคั้นและล่อลวงกีฮุนต่างๆ นานา เพื่อให้อีกฝ่ายลงเอยแบบเขา (อย่างเช่นฉากที่มอบมีดกับกีฮุน) แต่สุดท้ายกีฮุนกลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกของกีฮุนต่อเกม และโทนอารมณ์โดยรวมของซีรีส์ คือลูกของหมายเลข 222 เด็กทารกอันเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ผุดผ่อง จนทำให้กีฮุนผู้เคยทำอะไรผิดพลาดมามากมาย เคยฆ่าคนตาย เคยคิดจะฆ่าตัวตาย ลุกขึ้นมาปกป้องเด็กคนนี้สุดหัวใจ แม้ต้องสละชีวิตตัวเองก็ตาม อีกทั้งยังสังเกตได้ว่า ซีรีส์ให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะลูกสาวของ 222 หรือลูกสาวของหมายเลข 246 ก็ล้วนเป็นตัวแปรให้เหล่าตัวละครเลือกทำสิ่งที่ดีงาม ราวกับเป็นแสงสว่างท่ามกลางความชั่วร้าย ซึ่งผู้กำกับบอกว่าตรงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Children of Men (2006)
ท้ายที่สุด กีฮุนอาจไม่ได้เงินรางวัล ไม่สามารถทำลายเกมได้ แต่เขาได้ค้นพบความเป็นมนุษย์ในตัวเองอีกครั้ง ซึ่งซีรีส์นำเสนอประเด็นนี้แบบทื่อๆ ไปเสียหน่อย ไม่ว่าจะให้กีฮุนพูดประโยคทองว่า “พวกเราไม่ใช่ม้าแข่ง เราเป็นมนุษย์!” หรือตอนสุดท้ายที่มีชื่อว่า “มนุษย์นั้นคือ…” บ้างก็แซวว่านี่ละครคุณธรรมหรือเปล่า แต่จุดที่น่าสนใจคือ ตอนที่ฟรอนต์แมนถามกีฮุนว่า “คุณยังเชื่อในมนุษย์อยู่หรือเปล่า” แวบแรกอาจดูเป็นฉากเฉิ่มเชย แต่คิดดูอีกทีมันอาจเป็นความร้ายกาจของพล็อต กีฮุนอาจไม่ได้เข้าถึงมนุษยธรรมด้วยตัวเอง 100% หากแต่มันคือโจทย์ที่ฟรอนต์แมนมอบให้ และเขานี่แหละที่จัดแจงให้เด็กทารกเป็นหนึ่งในผู้เล่น…แหม่ มาถึงขั้นนี้แล้ว อยากตั้งชื่อไทยใหม่ให้เลยว่า ‘สควิดเกม เกมคุณธรรม’
อย่างไรก็ดี Squid Game ไม่ได้ใสซื่อไร้เดียงสาจนเกินไป บทสรุปบอกกับเราว่า เกมยังดำเนินต่อไป การเลือกจบเรื่องที่สหรัฐอเมริกา พร้อมฉากเซอร์ไพรส์ที่ได้เห็น เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) นักแสดงเจ้าบทบาทตัวแม่ที่ไปสุดในทุกบทบาท มาเล่นตั๊กจี อาจสื่อความถึงภาค Spinoff ฉบับอเมริกันของ Squid Game ที่มีข่าวลือมาอย่างยาวนาน ถึงกระนั้น อีบองฮยอน ผู้รับบทฟรอนต์แมนก็พูดถึงฉากจบของซีรีส์ได้อย่างน่าขนลุกว่า
“โดยส่วนตัว ผมตีความว่า แม้จะด้วยความพยายามสูงส่งของผู้คนมากมาย แต่โลกจะดำเนินต่อไปอย่างที่มันเคยเป็น”
Graphic Designer: Phitsacha Thanawanichnam
Editorial Staff: Taksaporn Koohakan