SET ผันผวน เกาะติดศาล รธน. ถกคำร้อง สว.ถอดนายกฯ ปมคลิปเสียงฮุนเซน
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ประเมินว่า ตลาดแกว่งตัวผันผวนตามข่าวที่เข้ามากระทบ มีแนวต้านที่ 1,095/1,100 ส่วนการอ่อนตัวลงมีแนวรับที่ 1,075/1,068 การลง ทดสอบมีโอกาสดีดกลับได้ ปัจจัยในประเทศเรื่องการเมืองติดตามการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ว่าจะรับคำร้องเรื่องคลิปเสียงและมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ทั้งนี้ ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์และผันผวนต่อ หลังยังรอความชัดเจนของปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และความคืบหน้าการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังใกล้เส้นตาย 9 ก.ค.
ขณะที่ปัจจัยภายในติดตามเสถียรภาพทางการเมือง (การปรับ ครม., ศาลรัฐธรรมนูญจะรับพิจารณารับคำร้องคดีคลิปเสียงนายกฯ หรือไม่ในวันที่ 1 ก.ค. และพรรคฝ่ายค้านอาจยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 3 ก.ค.) และปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
อย่างไรก็ดี เราประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1,100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ "Selective Buy" ใน 3 ธีมหลัก และ 2 ธีมเทรดดิ้งที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและผลการดำเนินงานต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ (ผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายในและภายนอก) อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC BCH DIF
2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรครึ่งแรกปี 2568 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT
3. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนต้มกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยไตรมาส 2/2568 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC CPALL BTG
4. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Undervalue (PER PBV < -1SD) และเราแนะนำ Outperform อีกทั้งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR และ 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐอย่างกลุ่มปูนซีเมนต์และท่องเที่ยว แนะนำ SCC SCCC ERW CENTEL AAV
สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ GPSC มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับตัวลงของราคาก๊าซฯ และ Bond Yield ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรปกติจะเติบโต 3.9% YoY โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิต, การได้รับการคัดเลือกโครงการพลังงานทดแทนระยะที่ 2 รอบแรก, ไม่ได้ รับผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำสากล (GMT)
BCH มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากการเป็นหุ้น Defensive และแนวโน้มรายได้ในเดือน เม.ย.-พ.ค.ของ BCH เติบโต YoY และ QoQ ถือว่าดี เพราะปกติแล้วไตรมาสที่ 2 จะเป็นโลว์ซีชัน คงมุมมองเชิงบวกว่ากำไรปกติของ BCH จะฟื้นตัวกลับมาเติบโต 15% ในปี 2568 เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์