หุ้นไทยพุ่งกว่า 14 จุด! โบรกชี้ศาลสั่งนายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่กระทบเสถียรภาพ
ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายในช่วงบ่ายวันนี้ (1 ก.ค.68) อยู่ที่ 1,104.36 จุด เพิ่มขึ้น 14.80 จุด คิดเป็น +1.36% มูลค่าการซื้อขาย 26,089.10 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,109.12 จุด ลดลงต่ำสุด 1,086.56 จุด หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้อง ส.ว ด้วยมติ 7 ต่อ 2 เสียง เห็นชอบให้นายกหยุดปฏิบัติหน้าที่นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ต่อมา ณ เวลา 14.57 น. ดัชนีหุ้นไทยแตะที่ระดับ 1,101.61 จุด เพิ่มขึ้น 12.05 จุด คิดเป็น +1.11% มูลค่าการซื้อขาย 30,258.51 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ"โพสต์ทูเดย์" ว่า ตามที่ศาลฯสั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนั้นถือว่าไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ และไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เพราะทุกแผนงานยังคงเดินหน้าต่อไป สิ่งที่น่าจับตาคือ ผลการเจรจราการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ และการอนุมัติปีงบประมาณหากยังเดินหน้าต่อไปเป็นเรื่องที่ไม่หยุด
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หากมีจังหวะดัชนีย่อตัวลง แต่ต้องไม่หลุดแนวรับ 1,050 จุด แนะเป็นโอกาสซื้อหุ้น KCE ราคาเป้าหมาย 20 บาท , ITC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท คาดไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษจะอยู่ที่ 728 ล้านบาท ลดลง 35% จากปีก่อน แต่ขยายตัว 4% จากไตรมาสก่อนหน้า โมเมนตัมยอดขายโดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหรัฐ และยุโรป ที่ยังดีต่อเนื่อง โดยในยุโรปปัญหาสินค้าคงคลังของลูกค้าคลี่คลาย ส่วนสหรัฐไม่ได้รับผลต่อปัญหาภาษี
และ หุ้น BH สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 201.27 บาท
ไม่กระทบแผน!
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ประเด็นศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง สว.และสั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนั้น มีมุมมองเช่นเดิมว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่ได้มีผลใดๆต่อฝ่ายบริหาร เนื่องจากในช่วงนี้จะเป็นทางรองนายกฯสุริยะนั่งรักษาการแทนไปก่อน
รองนายกฯสุริยะสามารถเป็นผู้ที่จะนำครม.ชุดใหม่ถวายสัตย์ฯในวันที่ 3 ก.ค.นี้ได้ หลังจากนั้นอาจเป็นคุณภูมิธรรมที่ขึ้นมานั่งตำแหน่งรักษาการนายกฯแทน ในระหว่างที่ศาลใช้เวลาพิจารณาคำร้องนี้ (ซึ่งอาจกินเวลาเป็นเดือน) มองปัจจัยนี้จะไม่ได้มีผลใดๆต่องานของสภาฯเช่นกัน ซึ่งกำลังจะมีการเปิดประชุมสมัยสามัญในวันที่ 3 ก.ค.นี้
มองไปยังปลายทาง หากนายกฯแพทองธารถูกตัดสินให้มีความผิดจริงก็จะต้องเริ่มกระบวนการทางสภาในการเลือกนายกฯใหม่ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็จะมีแคนดิเดตคนถัดไปรออยู่แล้ว ตราบใดที่เสียงในฝั่งรัฐบาลยังคงเป็นเสียงข้างมากเกิน 250 เสียง คาดว่าก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเสถียรภาพทางการเมืองแต่อย่างใด
สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม ประเมินว่าจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของ 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ 1) ทิศทางของสงครามการค้า เนื่องจากในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ จะครบกำหนด 90 วันที่สหรัฐฯมีการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) แล้ว ซึ่งถ้าหากเส้นตายนี้ถูกเลื่อนออกไป มองว่า Sentiment การทั่วโลกน่าจะยังคงถูกประคับประคองต่อไปได้
และ 2) ทิศทางของปัจจัยการเมืองในประเทศ ซึ่งมีหลายประเด็นที่รออยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ความคืบหน้าของการฟ้องยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีฯ , การเดินหน้าพิจารณาของสภาฯต่อพ.ร.บ. Entertainment Complex, ความคืบหน้าคดีฮั้วสว. คดีของคุณทักษิณชั้น 14 และ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นต้น
ประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET Index ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1,050-1,180 จุด ในกรณีอนุรักษ์นิยม แต่หากสถานการณ์การเมืองในประเทศเลวร้ายมากขึ้นจนนำมาสู่ความเสี่ยงที่การพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะถูกเลื่อนออกไปจาก Timeline เดิม ประเมินว่าแนวรับดัชนี SET จะถูกกดต่ำลงไปอยู่บริเวณแถว 1,000 จุดได้
ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือครองหุ้นในกลุ่ม Domestic defensive ต่อไป ซึ่งได้แก่ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), โรงพยาบาล (BDMS), ค้าปลีกจำเป็น (CPALL) และโรงไฟฟ้า (GULF) เป็นต้น ส่วนกลุ่มพวก Global play เช่น Oil & Gas, Petrochemical และกลุ่มส่งออกอย่างเช่น Electronics, Food มองว่าจะผันแปรไปตามทิศทางการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆในเดือนนี้
หากในระยะสั้น ดัชนีปรับตัวลงมาจากความกังวลต่อปัจจัยการเมืองดังกล่าว มองเป็นโอกาสในการ “Buy on Weakness” ที่สำคัญ ระดับ SET Index ปัจจุบันที่ต่ำกว่า 1,100 จุดลงมานั้น เริ่มหมายถึงระดับ Upside ที่เป็นต่อ Downside แล้ว อิงกรอบแนวต้านดัชนีกรณีอนุรักษ์นิยมของทรีนีตี้ประจำไตรมาส 3 ที่ระดับ 1,180 จุด และกรอบแนวรับดัชนีในกรณีที่ พ.ร.บ. งบประมาณไม่ถูกเลื่อนออกไปจาก Timeline เดิมที่ระดับ 1,050 จุด