สนธิกำลังลุยค้น ‘วัดพระบาทน้ำพุ-อาณาจักรใจฟ้า’ หาหลักฐานทุจริตหลังรวบ ‘พระอลงกต’
กรณี ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เข้าปิดล้อมตรวจค้น 17 จุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และลพบุรี เพื่อจับกุมผู้ต้องหาในคดีทุจริตยักยอกเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต พูลมุข) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และ นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ได้สำเร็จในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริต ยักยอกทรัพย์ และฟอกเงิน ตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ 26 ส.ค. ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เปิดนาทีบุกจับ ‘พระอลงกต’ เจออ่านหมายข้อหาหน้าซีดคุมตัวสอบเข้ม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันเดียวกัน (26 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจับกุมหลวงพ่ออลงกต เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ประสานกำลังกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าปฏิบัติการตรวจค้นหลายจุด โดยเน้นพื้นที่สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับคดีนี้ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
การตรวจค้นในครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ 2 จุดสำคัญใน จ.ลพบุรี ได้แก่ โรงเรียนนาถะศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของใจฟ้าฟาร์ม ที่อยู่ในความดูแลของหลวงพ่ออลงกต โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบเอกสารและข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่อาจเชื่อมโยงกับการทุจริตเงินบริจาค ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อีกชุดได้เข้าตรวจค้นบริเวณอาคารรับบริจาคเงินและอาคารต่างๆ ภายในวัดพระบาทน้ำพุ โดยมีพระครูสุวัฒน์กิตติสาร รักษาการเจ้าอาวาสและนายสมพร โสมะเค็ง ไวยาวัจกร เป็นผู้นำตรวจค้น
จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. พบว่ามีการตรวจสอบเส้นทางการเงินและสลิปการโอนเงิน ซึ่งพบว่ามีเงินบริจาคจำนวนมากเข้าสู่มูลนิธิ แต่ยังต้องตรวจสอบยอดเงินที่แท้จริงให้ชัดเจนอีกครั้ง ขณะที่การปฏิบัติการโดยรวมในวันดังกล่าว ครอบคลุมถึง 17 จุด ทั้งในกรุงเทพฯ และลพบุรี โดยที่วัดพระบาทน้ำพุเพียงแห่งเดียวมีการตรวจค้น 5 จุด เพื่อดูความผิดปกติของเอกสารและการบริจาคเงิน
ด้านพระครูสุวัฒน์กิตติสาร ซึ่งรับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสได้เพียง 2 วัน ยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบทุกอย่าง แต่แสดงความกังวลว่าคดีที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและไม่เข้ามาบริจาคเงินอีก ซึ่งจะกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้ป่วยกว่าร้อยชีวิตในวัด อย่างไรก็ตาม พระครูสุวัฒน์กิตติสารให้คำมั่นว่าจะไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยในระหว่างนี้อย่างแน่นอน