พิชัย รับข้อเสนอ ปธ.หอการค้า เยียวยาผู้ได้รับกระทบ 7 จว. ชายแดนไทย-กัมพูชา
พิชัย รับข้อเสนอ ประธานหอการค้าไทย เยียวยาผู้ได้รับกระทบ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่มค่าตัวแรงงานไทย เสริมนำเข้าแรงงานต่างประเทศ ช่วยเหลือสินค้าเกษตร
เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 21 ส.ค. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง หารือกับนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยา กรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชาใน 4 หัวข้อสำคัญ ประกอบด้วย
1.มาตรการด้านภาษีค่าธรรมเนียม ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดให้นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนที่จัดประชุมสัมมนาหรือศึกษาดูงานและเข้าพักในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่กำหนดสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณามาตรการลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ลดอัตราภาษีลงร้อยละ 90 จากอัตราที่กำหนดไว้เดิม
ขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาใช้มาตรการภาษีเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัด โดยยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ต่ำเกินกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบ
ขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษี 3–6 เดือน ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในพื้นที่ /ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 1 เป็นเวลา 1 ปี สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน
2.มาตรการการเงินเพื่อสภาพคล่องผู้ประกอบการ ขอให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการในลักษณะที่สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับมาตรการของสถาบันการเงินของรัฐที่ได้มีมาตรการช่วยเหลือออกมาแล้ว
ขอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการ “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน” ในวงเงิน ไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือน และดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 12 เดือนแรก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนของครัวเรือนในพื้นที่
พิจารณาจัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูชายแดน” วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
3.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ/การท่องเที่ยว ขอให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณามาตรการสนับสนุนหรืองบประมาณแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับการจัดกิจกรรมสัมมนาและศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยกำหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยเป็นลำดับแรกๆ
ขอให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่มีแผนจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน พิจารณาเลือกใช้สถานที่ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนเป็นพื้นที่สำหรับการจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงานเป็นลำดับแรกเพื่อเป็นการส่งเสริมการกระจายรายได้และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
4.มาตรการด้านแรงงานและการจ้างงาน ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในประเภทธุรกิจโรงแรมและสถานบริการ และขอให้ยังคงใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่เคยกำหนดไว้เดิม
ปรับลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนลงให้เหลือ ร้อยละ 0.5 เป็นเวลา 1 ปี รวมทั้งขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 (อ้างอิงกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย)
สนับสนุนนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เช่น สปป.ลาว หรือเมียนมา โดยปรับขั้นตอนการนำเข้าแรงงานให้รวดเร็วและง่ายขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงาน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวในการลงทะเบียนและขออนุญาตทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเสนอให้นำแรงงานจากประเทศอื่นๆ มาเพิ่มเติม อาทิ จากประเทศบังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
โดยสภาหอการค้าฯ พร้อมที่จะหารือกับกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น และเตรียมพร้อมรับมือแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน
จัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานระดับจังหวัด เพื่อช่วยจับคู่แรงงานกับผู้ประกอบการที่ต้องการแรงงานเร่งด่วน และประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดและส่วนกลาง เพื่อให้ดำเนินการได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณาผ่อนปรนให้สามารถกลับเข้ามาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยใช้บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) เป็นเอกสารแสดงตนในเบื้องต้น และเมื่อเดินทางเข้ามาแล้ว ให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ปัจจุบันยังคงพำนักและทำงานอยู่ในประเทศไทย ขอให้พิจารณาเปิดช่วงเวลาให้นายจ้างหรือแรงงาน สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตามกฎหมาย ภายในระยะเวลา 2 เดือน เพื่อให้การจ้างงานเป็นไปอย่างโปร่งใสและสอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน
ในการจัดทำบันทึกความตกลง (MOU) รอบใหม่
สำหรับแรงงานกัมพูชาที่เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณามาตรการผ่อนปรนค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนแรงงาน เพื่อจูงใจให้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเสนอให้ลดค่าใช้จ่ายลงร้อยละ 50 หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม เพื่อบรรเทาภาระของนายจ้างและแรงงาน และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ ภายหลังการหารือ นายพิชัย กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งหอการค้าไทยได้เสนอมาหลากหลายประเด็น เพื่อมีมาตรการช่วยเหลือในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน เบื้องต้นจากการหารือจะมีการจัดทำรายละเอียดต่อไป
ส่วนปัญหาแรงงานขาดแคลน จะมีการหารือกันต่อว่าจะมีการจัดหาแรงงานเพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งมีหลายวิธีทั้งแรงงานที่อยู่ในเมืองไทยที่มีใบอนุญาตอยู่แล้ว อาจจะขยายเวลาอยู่ต่อหรือไม่ หรือแรงงานที่อยู่ไม่มีใบอนุญาตก็ดำเนินการให้ถูกต้อง และหาแรงงานจากประเทศอื่นที่พร้อมส่งออกแรงงาน เช่น บังกลาเทศ เป็นต้น เพื่อมาเสริมแรงงานที่ขาดไป ดังนั้น เรื่องนี้จึงต้องมีการลงรายละเอียดในแต่ละส่วนต่อไป
ขณะที่การฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ให้กลับมามีสถานการณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะการให้คนเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลและเอกชนจะมีการจัดสัมมนา ดังนั้นก็จะหารือกับฝ่ายความมั่นคงว่าจะอนุญาตอำเภอใดที่พร้อมให้เข้าพื้นที่ได้
ส่วนภาคเอกชนก็จะมีมาตรการทางภาษีให้ เช่น ถ้ามีการไปจัดสัมมนาในพื้นที่ดังกล่าว อาจจะมีมาตรการลดหย่อนภาษีให้เป็นพิเศษ
สำหรับมาตรการด้านอื่นๆ ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการไปแล้วบางส่วน เช่น ภาษีเงินได้ สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบจะมีการยกเว้นให้เลย หรือการหักภาษี ณ ที่จ่าย การยื่นชะลอลดอัตราภาษี ซึ่งรัฐบาลจะดูให้หมด และจะทำงานร่วมกับภาคเอกชนจากใกล้ชิด
มาตรการทางการเงินที่มีข้อเรียกร้องลดอัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐบาลจะไปดูเรื่องนี้ โดยภาครัฐยินดีให้อยู่แล้ว เหลือธนาคารพาณิชย์ จะมีการเรียกมาพูดคุย เพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือในช่วงนี้
นายพิชัย กล่าวว่า ภาพรวมผลกระทบเศรษฐกิจที่ได้รับ หากประเมินเป็นตัวเลขยังประเมินไม่ออก แต่ถ้าแบ่งเป็นแต่ละอุตสาหกรรม วันนี้พอจะคาดเดาได้ เพราะใน 7 จังหวัดมีอาชีพหลักคือเกษตรกรรม ซึ่งรัฐบาลจะมีมาตรการดูว่าจะมีแรงงานมาเก็บผลไม้หรือไม่ จากนั้นจะดูเรื่องตลาด
ซึ่งในวันนี้กระทรวงพาณิชย์คิดว่าไม่จำเป็นต้องขายในพื้นที่ อาจจะให้แต่ละจังหวัดนำผลไม้มาขายในส่วนกลาง หรือในกรุงเทพมหานคร เพราะกระแสของคนกรุงเทพฯ เข้าใจถึงปัญหาใน 7 จังหวัดชายแดน หากเกิดเรื่องใดยินดีจะช่วยเหลือหมด
ดังนั้นก็จะมีการจัดขายพืชผลทางการเกษตรที่กรุงเทพฯ ทยอยทีละจังหวัด แต่หากจะเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงก่อน เพื่อให้ดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจังหวัดใดพร้อมที่จะเข้าไปเริ่มดำเนินการช่วยเหลือ
นายพิชัย กล่าวกรณีสินค้าชายแดน 7 จังหวัดที่แก้ปัญหาไม่ได้จะมีแนวทางอย่างไรว่า สิ่งที่ทำในวันนี้ หากในพื้นที่มีสินค้าหรือพืชผลใดก็ต้องดึงเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อหาช่องทางจำหน่าย แม้กระทั่งแรงงานก็ต้องมีการช่วยเหลือ
หลังจากนี้จะศึกษาผลกระทบระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งในแผนระยะยาวต้องดูไปพร้อมกับฝ่ายความมั่นคงว่าจะมีผลสรุปออกมาเช่นไร และการช่วยเหลือจะเป็นสั้นยาวอย่างไรต้องขอดูอีกที และจะเข้าไปดูแลแต่ละกลุ่มของผู้ประกอบธุรกิจว่ามีสิ่งไหนบ้างที่จะเข้าไปช่วยเหลือ
แม้กระทั่งภาคแรงงานหากมีไม่เพียงพอก็ยินดีเปิดรับ หากแรงงานไทยมีความชำนาญ พร้อมที่จะทำ และจะต้องจ่ายเพิ่ม เพราะว่าอยู่ในสถานการณ์เหตุการณ์ไม่ปกติก็ยินดีจะหามาตรการจ่ายเพิ่มให้ได้ ถ้าเป็นแรงงานไทย
ส่วนมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐจะต้องรอจนถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย- กัมพูชา ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ก.ย.นี้หรือไม่นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งจะมีการประเมินสถานการณ์และส่งมาให้ ซึ่งจะรู้ว่าจะดำเนินการได้เมื่อไหร่ ดังนั้น ช่วงที่ยังเริ่มไม่ได้ วิธีง่ายๆ คือ ดึงสินค้าออกมานอกพื้นที่ เพื่อมาจำหน่ายให้ส่วนกลาง แต่หากช่วงไหนเข้าพื้นที่ได้ก็เข้าไปช่วยได้ทันที
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พิชัย รับข้อเสนอ ปธ.หอการค้า เยียวยาผู้ได้รับกระทบ 7 จว. ชายแดนไทย-กัมพูชา
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th