สภาประชุมลับ ยกเลิก MOU43,44 จับตาคดี “อิงค์”
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้พิจารณาญัตติขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจเขตแดนไทย- กัมพูชา ทั้ง 2 ฉบับ คือ MOU 43 และ MOU 44 โดยมีมติให้ช่วงอภิปรายเป็นการประชุมลับ เพราะอาจกระทบ กับความมั่นคงได้ ขณะเดียวกัน วันนี้มีหลายฝ่ายออกมาให้สัมภาษณ์ทิศทางการเมือง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 43 ,44 โดยมีสมาชิกจากหลายพรรคการเมืองเสนอมาทั้งหมด 5 ญัตติ ซึ่งนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานรัฐบาล ชี้แจงว่า ขอให้เป็นการประชุมลับ และจะเปิดโอกาสให้มีการเสนอญัตติและอภิปรายจากผู้เสนอ แต่พอถึงช่วงอภิปรายให้เป็นการประชุมลับ เพื่อป้องกันความมั่นคงของประเทศ
แต่บรรยากาศในห้องประชุมก็มีการถกเถียงว่าเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ เลยจุดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ควรอภิปรายแบบเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ทั้งหมด แต่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลยังยืนยันคำเดิมว่า ให้เป็นการประชุมลับ
จากนั้น นายไชยยา พรหมมา ประธานการประชุม ได้ใช้ข้อบังคับ ให้ใช้เสียงสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด คือ 123 คน ปรากฏว่า มีผู้รับรองให้ประชุมลับ 196 คน ซึ่งตามข้อบังคับผู้ที่เสนอญัตติ ทั้ง 5 คน จะสามารถเสนอญัตติได้ตามการประชุมปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงสมาชิกอภิปรายก็จะเป็นการประชุมลับ งดการถ่ายทอดออกสู่ภายนอก
ขณะเดียวกัน ที่สภาวันนี้ก็มีความเคลื่อนไหวหลายฝ่ายที่ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้
เริ่มจาก นายยุทธพร อิสระชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประเมินสถานการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ “50:50” เพราะตัวบทกฎหมายเขียนกว้าง เปิดให้ศาลใช้ดุลพินิจตีความ
ทั้งเรื่อง “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “จริยธรรมร้ายแรง” โดยการวินิจฉัยครั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง คำชี้แจงของนายกฯ การไต่สวนพยาน รวมถึงการประเมินเจตนาและพฤติการณ์ ซึ่งผล
อาจนำไปสู่การพ้นตำแหน่งหรือตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ได้ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร หากนายกฯ ได้ไปต่อ ก็ยังเผชิญโจทย์ใหญ่ ทั้งการเมืองที่เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ สภาล่มบ่อยครั้ง เสี่ยงกระทบเสถียรภาพ และปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องเร่งฟื้นฟูประชาชน ส่วนหากไปต่อไม่ได้ แม้จะมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ ก็ยังต้องเผชิญโจทย์ทางการเมืองและเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกฝ่ายได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมครบถ้วนแล้ว ทั้งการชี้แจง การแถลง และการยื่นคำปิดคดี จึงขอให้สังคมติดตามด้วยความสงบ และเคารพคำวินิจฉัย ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร พร้อมย้ำว่า รัฐบาลทุกชุด ย่อมเผชิญทั้งช่วงที่กระแสนิยมสูงและต่ำ
แต่สิ่งสำคัญ คือการสร้างผลงานและแก้ปัญหาให้ปรากฏเป็นรูปธรรมต่อประชาชน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา พร้อมระบุว่า สถานการณ์คลิปเสียงครั้งนี้เกิดจาก "ความจงใจของผู้มีอำนาจกัมพูชา" ที่ต้องการปั่นป่วนเสถียรภาพการเมืองไทย และอาจหวังล้มรัฐบาล
จึงเป็นโจทย์ใหญ่ ที่สังคมไทยต้องตั้งหลักคิด หากรัฐบาลชุดนี้มีอันเป็นไป อาจเป็นความสำเร็จของอีกฝ่าย และอาจเปิดทางให้อีกฝั่งเดินเกมรุกต่อืดังนั้น ทั้งหมดต้องรอคำวินิจฉัยของศาลฯ และเราต้องเคารพร่วมกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews