เมอร์เคิล แคปปิตอล มองโอกาส Ethereum เม็ดเงินสถาบันไหลเข้า กฎหมายหนุน
เมอร์เคิล แคปปิตอล จัดสัมมนาพิเศษ “Ethereum โอกาสยังมี หรือหมดเวลาแล้ว?” จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ พุ่งแตะ All Time High ก่อนปรับฐาน เม็ดเงินสถาบันไหลเข้า กฎหมายหนุน บริษัทใหญ่สะสมต่อเนื่อง โอกาสทองที่นักลงทุนไม่ควรพลาด
นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่า เมอร์เคิล แคปปิตอล จัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “Ethereum โอกาสยังมี หรือหมดเวลาแล้ว?” มองทิศทางการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ Ethereum ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกในเวลานี้
โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมา Ethereum ปรับตัวจากระดับ 3,500 ดอลลาร์ ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตลอดกาล (All Time High) ที่ 4,800 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับฐานลงมาที่ประมาณ 4,100 ดอลลาร์ ขณะที่ระดับต่ำสุดในรอบปีอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์ การปรับตัวดังกล่าวสะท้อนถึงความผันผวนและการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญในตลาด ขณะเดียวกันก็สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตระยะยาว
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน Ethereum ในรอบนี้มาจาก 3 ด้านหลัก ได้แก่ การไหลเข้าของเม็ดเงินสถาบันซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาด จากเดิมที่มีเพียงนักลงทุนรายย่อย ปัจจุบันสถาบันการเงินรายใหญ่เริ่มเข้ามามีบทบาท โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและมอง Ethereum เป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาว
อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยด้านกฎหมาย เช่น การประกาศใช้ Genius Act ที่เอื้อต่อการใช้ Stablecoin และความชัดเจนในสถานะของ Ethereum ที่ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสินทรัพย์ประเภทหลักทรัพย์ (Security) ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการลงทุน
นอกจากนี้ กฎหมายยังเปิดโอกาสให้ Ethereum สามารถสร้างผลตอบแทนจากการถือครอง (Yield) ได้ในระดับ 3–4% ต่อปี ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมากสำหรับนักลงทุนสถาบันที่นิยมลงทุนระยะยาว ข้อมูลล่าสุดยังระบุว่า กระแสเงินทุนไหลเข้าผ่าน Ethereum ETF ทำสถิติสูงสุดใหม่ แสดงถึงการยอมรับที่กว้างขึ้นในตลาดโลก
อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือการที่บริษัทขนาดใหญ่เริ่มทยอยสะสม Ethereum เป็นทุนสำรององค์กร (Corporate Reserve) คล้ายกับกรณีของ Strategy ที่เคยทำกับ Bitcoin โดย Bitmine และ Sharplink เป็นสองบริษัทที่เริ่มต้นชัดเจน โดยเฉพาะ Bitmine ที่ตั้งเป้าเก็บสะสมถึง 5% ของ Supply Ethereum ทั้งหมด หรือราว 6 ล้าน ETH ปัจจุบันเก็บแล้ว 1.5 ล้าน ETH ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ตัวเลขดังกล่าวมากกว่าการถือครองของ Ethereum Foundation หลายเท่า และสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของผู้เล่นรายใหญ่ที่มอง Ethereum เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ในอนาคต
ด้านเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic) นักลงทุนยังคงติดตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อย่างใกล้ชิด โดยตลาดให้น้ำหนักสูงต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยง แม้อาจมีความผันผวนระยะสั้นจากความไม่แน่นอน แต่แนวโน้มระยะกลางและยาวยังถือว่าเป็นบวกต่อคริปโทเคอร์เรนซี
สำหรับ Bitcoin แม้ยังคงมีบทบาทเป็นสินทรัพย์หลักด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่ติดอันดับ 7 ของโลก แซงหน้าเงิน (Silver) และบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่บางแห่ง แต่ในรอบนี้ Ethereum กำลังแสดงศักยภาพการครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 7% สู่ 14% และยังมีโอกาสขยับไปแตะระดับสูงสุดเดิมที่ 22% หรือสูงกว่า หากพิจารณาจากการเข้ามาของเม็ดเงินสถาบันและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากปัจจัยทั้งหมดมองว่า Ethereum ยังไม่หมดเวลา แต่กลับอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์สินทรัพย์ดิจิทัล การเข้ามาของสถาบัน กฎหมายที่เอื้ออำนวย การยอมรับที่เพิ่มขึ้น และการสะสมของบริษัทเอกชน ล้วนสะท้อนถึงโอกาสที่ยังคงเปิดกว้าง นักลงทุนที่สามารถบริหารความเสี่ยงได้อาจมองช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำคัญที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และอาจไม่เกิดขึ้นอีกใน 10–20 ปีข้างหน้า
*หมายเหตุ คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO