“ฮุน เซน” เผยทักษิณแกล้งป่วย ช่วยยิ่งลักษณ์หนี เสียใจมิตรภาพ 30 ปีถูกทำลายโดยลูกสาวเพื่อน
ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ลุกลาม ที่นำไปสู่การตอบโต้ระหว่างสองประเทศ และระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ตั้งแต่การเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน ความพยายามของทั้งสองประเทศในการแก้ไขข้อพิพาทไม่เกิดผล ทั้งสองฝ่ายผลัดกันปิดหรือลดเวลาทำการของจุดตรวจชายแดน และต่อมากองทัพไทยได้ปิดจุดผ่านแดนทางบกกับกัมพูชาทั้งหมด ในขณะเดียวกัน กัมพูชาได้สั่งแบนภาพยนตร์ ยกเลิกสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงขู่แบนสินค้าไทย รวมไปถึงห้ามการนำเข้าผลิตภัณฑ์ เชื้อเพลิง และก๊าซจากประเทศไทย
คลิปเสียงโทรศัพท์สายด่วนระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ที่รั่วไหลจากฝั่งของกัมพูชา และการตอบโต้กลับของนายกรัฐมนตรีของไทยในการแถลงขออภัยประชาชนคนไทย ว่าการอัดคลิปในการโทรคุยส่วนตัวโดยมือถือส่วนตัวเป็นการกระทำที่ไม่ควรเป็นที่ยอมรับต่อทั่วโลก และ”ไม่เป็นมืออาชีพ” เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ยาวนานหลายทศวรรษระหว่าง สมเด็จ ฮุนเซน กับทักษิณ ชินวัตร ขาดลง และเลวร้ายจนถึงขั้นที่สมเด็จฮุน เซนประกาศว่า จะเปิดเผยถึงการทรยศของทักษิณ
The Nation รายงานว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวในการประชุมผู้ลี้ภัยที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ในจังหวัดพระวิหาร ว่า ตอนนี้ผมถูกทรยศ ผมรู้สึกว่าผมต้องเปิดเผยในสิ่งที่ครอบครัวทักษิณทำที่ทรยศต่อประเทศชาติ นี่คือคำเตือน คุณควรสอนลูกๆ ของคุณ และพวกเขาควรเข้าใจพ่อของพวกเขาและผู้อื่น
“ผมไม่เคยคิดว่าครอบครัวที่ผมเคยช่วยให้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อปัญหาเช่นนี้ ช่วงหนึ่งพวกเขาอ้างว่ามีอำนาจ แต่ช่วงต่อมากลับบอกว่าไม่มี พรุ่งนี้ผมจะพูดถึงเรื่องนี้” สมเด็จฮุน เซนกล่าวโดยหมายถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย บุตรสาวของทักษิณ
“หากคุณยังจองหอง ผมจะเปิดเผยทุกอย่างที่คุณบอกผม รวมทั้งการดูหมิ่นกษัตริย์ของคุณด้วย อบรมสั่งสอนลูกๆ ของคุณ คุณมีลูกที่เป็นนายกรัฐมนตรี และผมก็มีลูกที่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อย่าคิดไปเองว่าผมเป็นคนประเภทที่ล่วงล้ำได้ ผมไม่ได้เป็นหนี้ประเทศไทยแต่อย่างใด” เขากล่าว
สมเด็จฮุน เซนระบุว่าครอบครัวของทักษิณเป็นหนี้บุญคุณเขา ซึ่งก็ไม่ได้พยายามจะทวงบุญคุณ สิ่งที่ต้องการคือความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน โดยไม่มีการแทรกแซง
แฉทักษิณป่วยทิพย์หลอกประชาชนและศาล
วันที่ 27 มิถุนายน 2568 สื่อกัมพูชา Khmer Times รายงานว่า ในระหว่างการประชุมกับสมาชิกสภาท้องถิ่นในจังหวัดพระวิหาร สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน เปิดเผยว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย แกล้งป่วยเพื่อหลอกประชาชนและศาลรัฐธรรมนูญของไทย
สมเด็จฮุนเซนกล่าวว่า ทักษิณใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เฝือกคอและแขน ไม่ใช่เพราะว่าป่วยจริง แต่เป็นการแสดงเพื่อบิดเบือนสายตาประชาชนระหว่างดำเนินคดีทางกฎหมายเท่านั้น และกล่าวอีกว่า เขาเห็นทักษิณมีสุขภาพแข็งแรงด้วยตนเองและมีคนอีกหลายคนรับรู้ถึงการหลอกลวงนี้
สมเด็จฮุน เซนกล่าวว่า “ผมบินไปกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมทักษิณด้วยตนเองหลังจากที่เขากลับมาถึงประเทศไทย เขาไม่ได้ป่วยแต่อย่างใด แต่เมื่อถึงเวลาถ่ายรูป เขาขออุปกรณ์ประกอบฉาก เช่น เฝือกคอ เฝือกแขน เพื่อให้ดูเหมือนป่วย พอถ่ายรูปเสร็จ เขาก็ถอดอุปกรณ์ประกอบฉากออกแล้วไปกินข้าว นั่นไม่ใช่อาการป่วย มันคือการแสดง และประชาชนชาวไทยก็สงสัยเรื่องนี้แล้ว ผมแค่ยืนยัน เพราะตอนนี้ทั้งทักษิณและแพทองธาร ลูกสาวของเขา ต่างก็แสดงให้เห็นว่าขาดความจริงใจ”
สมเด็จฮุน เซนกล่าวต่อว่า แพทองธารรู้ดีว่าบิดาไม่ได้ป่วย แต่กลับให้ความร่วมมือให้ข้อมูลเท็จต่อศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ในความเห็นของเขา ทั้งพ่อและลูกสาวมีปัญหาด้านความน่าเชื่อถือต่อระบบกฎหมายของไทย ทางการไทยเพิ่งเรียกตัวทักษิณมาไต่สวนในข้อกล่าวหาการประพฤติมิชอบนี้
สมเด็จฮุน เซนยังได้เปิดเผยชื่อพยานบางคนที่ได้เห็นการแกล้งป่วยของทักษิณด้วย รวมถึงรองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ เคือง สเรง และคนไทยที่เข้าร่วมด้วย แต่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อพยานชาวไทยคนหนึ่ง แต่ระบุว่าจะเปิดเผยหากศาลไทยร้องขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม
ในการเปิดเผยเรื่องทักษิณ สมเด็จฯ เดโชได้ขอโทษประชาชนชาวไทย โดยยอมรับว่าได้ปกปิดข้อมูลนี้ไว้เพื่อแสดงความเคารพต่อความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างพวกเขา
ยิ่งลักษณ์ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาหนีออกจากไทย
สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เปิดเผยว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาหลบหนีออกจากประเทศไทยและไปลี้ภัยในต่างประเทศ ด้วยความช่วยเหลือจากตัวเขางเอง
สมเด็จฮุน เซนกล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ได้ทรงเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวด้วยความเคารพต่อความสัมพันธ์ แต่ถูกบังคับให้ต้องพูดหลังจากที่ถูกแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยคนปัจจุบันโจมตีเป็นการส่วนตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สมเด็จฮุน เซนกล่าวว่า “ผมสงสารยิ่งลักษณ์ เธอถือหนังสือเดินทางกัมพูชาและอาศัยอยู่ต่างประเทศ แต่เธอต้องทนทุกข์เพราะพี่ชายของเธอ และตอนนี้ก็เพราะหลานสาวของเธอด้วย ผมไม่อยากพูดออกมา แต่ผมต้องพูด เมื่อรถนำยิ่งลักษณ์ออกจากปอยเปต ตรงกับเวลาที่เธอขึ้นเครื่องบินจากสิงคโปร์ไปเสียมเรียบ เครื่องบินลงจอด และเธอก็ขึ้นรถทันที วันนี้ความจริงก็ปรากฏ”
สมเด็จฮุนเซนชี้แจงว่า กัมพูชาไม่ได้ใช้ดินแดนของตนเพื่อต่อต้านไทย แต่ทำด้วยความเมตตาและมนุษยธรรม
สมเด็จฮุน เซนกล่าวว่า “ผมเสียใจที่มิตรภาพ 30 ปีถูกทำลายลงโดยลูกสาวของเพื่อน” โดยอ้างถึงแพทองธาร พร้อมกับแสดงความผิดหวังต่อสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเธอ โดยกล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีของไทยอาจดูหมิ่นกองทัพของตนเองได้ แต่เธอไม่สามารถดูหมิ่นผมได้
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย และเป็นผู้นำรัฐบาลหญิงคนแรกของประเทศ ได้รับการเลือกตั้งในปี 2554 ในปี 2557 ยิ่งลักษณ์ถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหาร หลังจากถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในทางมิชอบและทุจริต
ต่อมาศาลฎีกาได้ตัดสินให้จำคุก แต่ยิ่งลักษณ์ได้หลบหนีออกนอกประเทศก่อนการพิพากษา
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2560 สมาชิกระดับสูงของพรรคการเมืองของยิ่งลักษณ์ได้ยืนยันว่าเธอได้หลบหนีออกจากประเทศไทยประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ และอาศัยอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เผยแอบอัดเสียงสนทนากับนายกฯ ไทยเพื่อป้องกัน
สมเด็จฮุน เซน ยังเปิดเผยว่า เขาได้บันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ไว้เป็นมาตรการป้องกัน เนื่องจากเหตุการณ์ในอดีตที่ไทยเคยหลอกเขามาก่อนในการเจรจาปรับกำลังพลในพื้นที่ช่องบก
สมเด็จ ฮุน เซน เล่าว่าในการหารือรอบก่อนซึ่ง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกัมพูชา ตกลงที่จะปรับกำลังพล
ฝ่ายไทยได้กล่าวขอบคุณเป็นการส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการปรับเปลี่ยนแล้ว สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ของไทยได้ออกมากล่าวในภายหลังว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการถอนทหารฝ่ายเดียวของกัมพูชา
สมเด็จ ฮุน เซนกล่าวว่านี่เป็นการทรยศ
สมเด็จ ฮุน เซนกล่าวว่า “ผมรู้ตัวว่าผมถูกหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นครั้งนี้ผมจึงต้องบันทึกไว้ อะไรคือสิ่งที่หลอก? เราตกลงกันเรื่องการจัดกำลังทหารใหม่ในพื้นที่ช่องบก มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผมที่จะอธิบายในตอนนั้น ทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์ รวมถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน [แพทองธาร] ต่างก็โทรมาขอบคุณผม แต่แล้วหลังจากที่นายกรัฐมนตรีจากไป สื่อในกรุงเทพฯ อ้างว่ากัมพูชาได้ถอนทหารออกไปแล้ว มันไม่ใช่การถอนทหาร แต่เป็นการจัดกำลังใหม่”
สมเด็จ ฮุน เซนย้ำว่า “ผมโดนหลอก ผมโดนหลอก ผมจึงต้องโปร่งใสกับประชาชนและมีความรับผิดชอบต่อการเป็นผู้นำ ผมบันทึกเสียงการสนทนา โทรศัพท์ของผมบันทึกโดยอัตโนมัติ”
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฮุนเซนชี้แจงว่าในตอนแรกเขาไม่มีเจตนาที่จะเปิดเผยบันทึกเสียงดังกล่าว
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารของไทยกล่าวหาผู้นำกัมพูชาต่อสาธารณะว่า “ไม่เป็นมืออาชีพ” จนทำให้มีการปล่อยเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ที่ยาว 9 นาทีดังกล่าวออกไป
กัมพูชาไม่สามารถทำงานกับนายกฯ ไทยคนปัจจุบันได้
สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า กัมพูชาไม่สามารถทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันได้ และกำลังรอทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมเสริมว่า หากฝ่ายไทยต้องการเปิดเผยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถส่งทูตมาพบโดยตรงได้
สมเด็จฮุน เซนย้ำว่าไม่เคยดูหมิ่นหรือดูหมิ่นผู้นำกองทัพไทยคนใดเลย ไม่เหมือนกับนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันที่ทำลายชื่อเสียงกองทัพของตนเองเพื่อพยายามเอาใจเขา กัมพูชาถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทรยศต่อประเทศ
“ไทยจะถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีเป็นการทรยศหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับไทย แต่สำหรับกัมพูชา การโจมตีกองทัพของตนเองเพื่อเอาใจผู้นำต่างชาติถือเป็นการทรยศอย่างชัดเจน” สมเด็จฮุน เซนเน้นย้ำ
สมเด็จฮุน เซน กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พยายามหลอกใช้เขาด้วยกลวิธีเจรจา โดยระบุว่า “คุณพยายามบงการผมโดยใช้กลวิธีที่เรียกว่ากลวิธีเจรจา (tactic) แต่คุณรู้จักฮุนเซนน้อยเกินไป พ่อของคุณเรียกผมว่า ‘ผู้นำ 01’ ทักษิณมองว่าผมเป็นผู้นำ”
สมเด็จฮุน เซนย้ำว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโต้กลับด้วยวาจา โดยกล่าวว่าการดูหมิ่นครั้งนี้ร้ายแรงเกินกว่าจะเพิกเฉยได้
ในรายงานข่าวของ Khmer Times ระบุ ว่าเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ในระหว่างการแถลงข่าวของแพทองธาร ได้กล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางหลักของการดำเนินการหลอกลวงทางออนไลน์ สมเด็จฮุน เซนมองว่าเรื่องนี้เป็นการดูหมิ่นกัมพูชาอย่างร้ายแรง
เพื่อตอบโต้ สมเด็จฮุน เซนได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ผมไม่สามารถให้อภัยคุณได้ และกัมพูชาไม่สามารถทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้ เราจะรอที่จะร่วมมือกับผู้นำคนใหม่ อย่ากล่าวหาผมว่าแทรกแซงการเมืองภายในประเทศของไทย ผมเพียงแต่แจ้งให้ประเทศไทยทราบถึงพฤติกรรมที่น่าละอายของนายกรัฐมนตรีที่มีต่อประเทศของตนเอง”
สมเด็จฮุน เซนกล่าวอีกว่า การดูหมิ่นแม่ทัพภาคของตนเองนั้นเท่ากับดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากการแต่งตั้งทหารในประเทศไทยนั้นต้องผ่านพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น ดังนั้น จึงขอให้แพทองธารเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวมีความหมายแค่ไหน
กัมพูชาเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์จากไทย
สมเด็จฮุน เซน ระบุว่า กัมพูชาเป็นแค่เหยื่อของปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย โดยอธิบายว่าประเทศไทยซึ่งมีสนามบินนานาชาติเป็นจุดเริ่มต้นการเข้ามาของผู้ก่ออาชญากรรมหลอกลวงจำนวนมาก
ดังนั้น สมเด็จฮุน เซนจึงเรียกร้องให้ทางการไทย “หยุดโทษคนอื่น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา สำหรับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์”
“กัมพูชาได้ใช้ความอดทนอย่างมากในการทำงานเพื่อขยายความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว แต่ท่านนายกรัฐมนตรี (หมายถึงนายกรัฐมนตรีของไทย) กำลังพยายามถอนตัวจากปัญหาและโยนความผิดไปที่กัมพูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ท่านได้กระทำผิดพลาดร้ายแรงในเรื่องนี้ ท่านกำลังชี้นิ้วโทษคนอื่น แต่ลืมไปว่าปัญหามาจากฝั่งของท่านเอง” สมเด็จฮุน เซนเน้นย้ำ
“ใครเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่เครือข่ายอาชญากรตามแนวชายแดนเมียนมา ใครเป็นผู้เลี้ยงดูพวกนี้บริเวณชายแดนลาว” สมเด็จฮุน เซนตั้งคำถาม “สำหรับกัมพูชา เราได้ทำหน้าที่ของเราไปแล้ว คุณอ้างว่ากัมพูชาให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่เราได้ปิดไปแล้วก่อนวันที่ 24 และท่านยังได้ขอโทษผมด้วย คุณบอกว่ากัมพูชาได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่หลังจากชี้แจงแล้ว คุณไม่ยอมรับผิดและขอโทษหรือ”
สมเด็จฮุน เซนกล่าวว่า ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศของไทยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของกัมพูชา กัมพูชาก็ดำเนินการไปต่างหากแล้ว โดยที่ไม่มีแรงกดดันใดๆ จากไทย
ในขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน เซนยังเรียกร้องให้ประชาชนไทยตรวจสอบผู้นำประเทศของตนอย่างรอบคอบ และขอให้พิจารณาถึงกลวิธีที่นำมาใช้
สมเด็จฮุน เซนเน้นย้ำว่า เขาไม่ได้วิจารณ์พรรคเพื่อไทยของไทยทั้งหมด แต่ตำหนิพฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบของผู้นำบางคนโดยเฉพาะ โดยอ้างว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนของตนเองและต่อกัมพูชาในฐานะคู่เจรจา
นอกจากนี้ยังย้ำว่า “หากผู้นำไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนของตนเอง เราจะไว้วางใจพวกเขาได้อย่างไร”
สมเด็จฮุน เซนยืนยันว่ากัมพูชาพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับอาชญากรรมทุกรูปแบบ ไม่เพียงแต่การหลอกลวงทางออนไลน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน และการค้ายาเสพติดด้วย
สมเด็จฮุน เซนยืนยันว่า นี่คือจุดยืนและความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของกัมพูชาต่อการร่วมมือในภูมิภาค”
กัมพูชามุ่งเปลี่ยนชายแดนติดไทยเป็นเขตสันติภาพและการพัฒนา
สมเด็จฮุน เซน ยืนยันว่ากัมพูชามีเจตนาที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับไทย และแก้ไขข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยสันติวิธี โดยมองไปที่การเปลี่ยนชายแดนให้กลายเป็นสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา
“ผมขอย้ำว่าผมยังคงแสวงหาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประเทศไทย ผมยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายหลัก 2 ประการของผม ประการแรก คือ การเปลี่ยนเขตสงครามในอดีตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนา ประการที่สอง คือ การเปลี่ยนพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้กลายเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา” สมเด็จฮัน เซนย้ำ
กัมพูชามีความพร้อมที่จะดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยอย่างเต็มที่ โดยมีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ไม่ว่าจะผ่านกลไกทวิภาคีหรือกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ กัมพูชาไม่เคยมองไทยเป็นศัตรู
อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายใดมองว่ากัมพูชาเป็นศัตรู ฝ่ายนั้นก็จะถูกกัมพูชามองว่าเป็นศัตรูเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฮุน เซนหวังว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่ากัมพูชาเป็นศัตรู เช่นเดียวกันกับคนกัมพูชาเองก็ไม่ได้มองว่าไทยเป็นศัตรูเช่นกัน
ที่มาภาพ:https://www.khmertimeskh.com/501708337/hun-sen-cambodia-aims-to-turn-border-with-thailand-into-a-zone-of-peace-and-development/
ท้าไทย“ทำไมไม่ฟ้องศาล ถ้ากัมพูชาละเมิดอธิปไตย?
สมเด็จฮุน เซน ตั้งคำถามว่า เหตุใดฝ่ายไทยซึ่งกล่าวหาว่ากัมพูชารุกล้ำดินแดนจึงไม่ดำเนินการทางกฎหมาย “มีเพียงผู้ที่ไม่มีความซื่อตรงเท่านั้นที่กลัวกระบวนการทางกฎหมาย”
“ผมรู้สึกแปลกใจที่ประเทศไทยกล่าวหาว่ากัมพูชารุกล้ำดินแดนของไทย หากเป็นเรื่องจริง ทำไมประเทศไทยจึงไม่กล้าที่จะฟ้องต่อศาล ผมขอถามกรุงเทพฯ โดยตรงว่า หากคุณกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทย ทำไมไม่ฟ้องต่อศาลระหว่างประเทศ ทำไมปฏิเสธที่จะดำเนินการทางกฎหมาย ผมขอเรียกร้องให้ประชาชนชาวไทย ชาวกัมพูชา และประชาคมโลกพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ” สมเด็จฮุน เซนย้ำ
สมเด็จฮุน เซนกล่าวต่อว่า “ทำไมพวกเขาถึงกลัวศาล ถ้ากัมพูชาทำผิดจริง ๆ ก็ควรดำเนินตามกฎหมาย ในประเทศไหนก็ตาม หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ ก็ควรนำเรื่องขึ้นสู่ศาล โลกมีสถาบันยุติธรรมระหว่างประเทศก็เพราะเหตุผลนี้เอง”
สมเด็จฮุน เซน ยังกล่าวอีกว่าผู้นำไทยไม่ควรกลัวที่จะเข้าร่วมในกระบวนการทางกฎหมาย
สมเด็จฮุน เซนกล่าวต่อว่า หากมีคำตัดสินของศาล ก็จะช่วยให้รัฐบาลแต่ละแห่งสามารถชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
สมเด็จฮุน เซนกล่าวต่อว่า “ทำไมประเทศไทยจึงปฏิเสธแนวทางกฎหมาย? พูดตรงๆ ก็คือ มีแต่คนที่ไม่มีคุณธรรมเท่านั้นที่กลัวหลักนิติธรรม
กัมพูชามีสิทธิที่จะป้องกันตนเองและตอบโต้การรุกราน
สมเด็จฮุน เซนเตือนว่ากัมพูชามีสิทธิที่จะปกป้องตัวเองและตอบโต้ผู้รุกราน ที่หวังจะยึดครองดินแดนกัมพูชา และเน้นย้ำว่าแม้กัมพูชาจะมีอาวุธที่สามารถมาถึงกรุงเทพฯ ได้ แต่กัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะใช้อาวุธดังกล่าวในเชิงรุก แต่จะใช้เพื่อป้องกันประเทศเท่านั้น
สมเด็จฮุน เซนยืนยันความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี ทั้งผ่านกลไกทวิภาคีและผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( International Court of Justice:ICJ)
อย่างไรก็ตาม สมเด็จฮุน เซนชี้แจงว่า การส่งทหารกัมพูชาไปยังชายแดนเมื่อเร็วๆ นี้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากการถูกกองกำลังไทยยิงทั้งๆที่ไม่ถูกยั่วยุ
“เรามีสิทธิที่จะป้องกันตัวเองและตอบโต้การรุกรานทุกรูปแบบ ไม่ว่าเราจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม เราไม่เพียงแต่มีสิทธิที่จะป้องกันตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีสิทธิที่จะตอบโต้การโจมตีอีกด้วย ในแง่ของการทหาร เมื่อศัตรูมาถึงสนามเพลาะของคุณ คุณจะไม่รอให้ถูกยิง แต่คุณจะตอบโต้ทันที กัมพูชาไม่มีความมุ่งหวังที่จะโจมตีกรุงเทพฯ แม้ว่าขีดความสามารถด้านอาวุธของเราสามารถไปถึงตัวเมืองได้ก็ตาม นั่นไม่ใช่เส้นทางของเรา” สมเด็จฮุน เซนเน้นย้ำ
สมเด็จฮุน เซนกล่าวต่ออย่างมีนัยว่า ศักยภาพทางทหารของกัมพูชาเพียงพอสำหรับการปกป้องประเทศ โดยชี้ให้เห็นว่าอาวุธเหล่านี้ได้รับการทดสอบในการสู้รบจริงแล้วระหว่างการปะทะในปี 2551 และ 2554
คำพูดของสมเด็จ ฮุน เซนดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่ฝ่ายไทย ซึ่งมักจะโอ้อวดต่อสาธารณะเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางทหารขั้นสูง
กัมพูชายังคงยึดมั่นในกลไกการเจรจาทวิภาคีและช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งมีความยาวประมาณ 800 กิโลเมตร โดยในจำนวนนี้ มีเพียงประมาณ 50 กิโลเมตรที่ต้องยุติโดยศาลระหว่างประเทศ