ข้อเสนอไทยแลกภาษีสหรัฐฯ 19% กระทบกลุ่มอุตสาหกรรมไหนบ้าง?
จากข้อเสนอของไทย เพื่อแลกเปลี่ยนกับสหรัฐฯ ลดภาษีตอบแทนเหลือ 19% จากเดิม 36% ประกอบด้วย
1. เว้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ราว 90%
2. ลดมาตรการกีดกันทางเทคนิค (NTBS)
3. เปิดทางลงทุน EEC
4. สั่งซื้อพลังงาน-อากาศยาน
5. ให้คำมั่นลด “เกินดุลการค้า” กับสหรัฐฯ ภายในปี 2573
6. รับกติกา RVC ใหม่ (RULES OF ORIGIN)
7. ลดภาษีบริการดิจิทัล/คลาวด์จากสหรัฐฯ
8. ขยายโควตาพืชเกษตรสหรัฐฯ
9. กันสินค้ายุทธศาสตร์จากการเปิดภาษี 0%
10. คลี่คลายตึงเครียดไทย–กัมพูชา
ทั้งนี้ “โพสต์ทูเดย์” ได้หยิบยกบทวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ได้ประเมินถึงผลกระทบข้อแลกเปลี่ยนไทยปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19% แยกตามกลุ่มอุตสหกรรม ดังนี้
กลุ่มพลังงาน : PTT เตรียมนำเข้า LNG ล็อตใหม่ 1 ล้านตัน/ปี จากสหรัฐฯ ในปี 2569 ส่วนความร่วมมือในการจัดหา LNG ระหว่างกระทรวงพลังงานร่วมกับรัฐอะแลสกา (ALASKA LNG) ปัจจุบันยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน เนื่องจากกระทรวงฯ ต้องพิจารณาราคาที่มีความเหมาะสมและแข่งขันได้ด้วย
โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากอยู่ในแผนการจัดหาด้านพลังงานของ PTT ไว้ในช่วงก่อนหน้านี้อยู่แล้ว โดยจะเป็นการทดแทนการนำเข้าก๊าซ LNG จากแหล่ง MIDDLE EAST ที่น้อยลง
ในกรณีของการสนับสนุนเว้นภาษี 5% 2 ปี ให้ GOOGLE CLOUD ส่งผลให้มีการดึงดูด และช่วยขยายการลงทุนภาคเอกชนในธุรกิจ CLOUD, DATA CENTER ถือเป็นมุมมองเชิงบวกต่อผู้ประกอบการที่มีธุรกิจเนื่องเกี่ยวเนื่องกับกลุ่มดังกล่าว อาทิ GULF ที่มีความร่วมมือกับ GOOGLE CLOUD และ BGRIM ที่กำลังเริ่มต้นเข้าธุรกิจ DATA CENTER เป็นต้น
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC จะมีการนำเข้า ETHANE สำหรับใช้เป็น FEEDSTOCK ให้กับโรงงานปิโตรเคมีในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกรณีที่เวียดนามยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด
ส่วนประเด็นปัญหาความตึงเครียดไทย-กัมพูชา หากคลี่คลายลง จะส่งผลบวกต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่มีการค้าชายแดน ได้แก่ปูนซีเมนต์ (SCC, SCCC, TPIPL) กระเบื้อง (SCGD, DCC) ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างต่างๆ (TASCO) รวมถึงการขนส่งข้ามชายแดน (SJWD)
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ : คาดจะยังไม่เห็นผลในระยะสั้นต่อยอดส่งออกไปสหรัฐฯ เนื่องจากคาดว่าน่าจะมีการเร่งสั่งซื้อสินค้าตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2568 เพื่อให้ดำเนินการผลิตและขนส่งทันในต้นไตรมาส 3/2568 ก่อนที่ภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ประกอบการจะต้องมีการเจรจากับลูกค้าในสหรัฐฯ เพิ่มเติมจากเดิม โดยเฉพาะ DELTA และ KCE ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าที่นำเข้าจะยอมรับอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นได้เพียง 10-15% ซึ่งต้องติดตามผลการเจรจาต่อไป โดยหากผู้ประกอบการไม่สามารถลดต้นทุนอื่นๆ ได้ ระยะถัดไปอาจจะเห็นผลกระทบต่อยอดขายอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2569
กลุ่มโรงพยาบาล : ได้ผลบวกเล็กน้อยจากความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ที่คลี่คลายลง เนื่องจากลูกค้ากัมพูชา คิดเป็น 1-4% ของรายได้โรงพยาบาล
ส่วนการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ ที่ได้รับการยกเว้นภาษี ไม่ค่อยได้ผลบวก เนื่องจากรายการดังกล่าวได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้วในปัจจุบัน หากคาบเกี่ยวรายการวัสดุ/อุปกรณ์ทางการแพทย์ น้ำยา หรือยาที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วย มองได้ประโยชน์บ้างเล็กน้อย เนื่องจากโรงพยาบาลไทยส่วนใหญ่ใช้ยา น้ำยา นำเข้าจากสหรัฐฯ ไม่เกิน 10% ผ่าน AGENCY จะมีแต่ KLINIQ ที่เน้นเครื่องมือ/อุปกรณ์ น้ำยา นำเข้ามาจาก US FDA โดยเฉพาะ ทำให้ภาพรวมต้นทุนอาจได้ประโยชน์มากสุดในกลุ่ม