“เฉลิมชัย” ตอบกระทู้ สว. ไขปม มลพิษข้ามแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา สปป.ลาว
“เฉลิมชัย” ตอบกระทู้ สว. ไขปม มลพิษข้ามแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา สปป.ลาว ชี้กฎหมายเป็นหัวใจสำคัญ ยันเดินหน้า "พ.ร.บ.อากาศสะอาด" เพื่ออนาคต โยง"ภาษีคาร์บอน" เพิ่มชนิดพืชปลูกฟอกอากาศจาก 58 ชนิด เป็น 200 สายพันธุ์ ย้ำ ไทยรับมือปัญหามลพิษทางอากาศ
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมในวาระตอบกระทู้ถามของนายมังกร ศรีเจริญกูล สว. เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา ประเทศลาว โดยนายมังกร ถามว่า
ตนมีข้อกังวลโดยข้อมูลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ชี้ให้เห็นผลกระทบของมลพิษข้ามแดนต่อสุขภาพของประชาชนและพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน โดยเฉพาะเรื่องฝุ่น PM 2.5 สารปรอท และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ลอยข้ามมาถึงเขตประเทศไทยจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร
โดยนายเฉลิมชัย กล่าวว่า ขอบคุณ สว. ที่ได้นำเสนอประเด็นสำคัญนี้ และยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้น แม้เพียงหมู่บ้านเดียวก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูแล แต่ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดสำคัญว่า เนื่องจากโรงไฟฟ้าหงสาตั้งอยู่ใน สปป.ลาว ทำให้กฎหมายของประเทศไทยไม่สามารถบังคับใช้โดยตรงได้พร้อมเปิดเผยว่าได้มีการสอบถามไปยัง สปป.ลาว และได้รับคำตอบว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีมาตรการควบคุมการระบายมลพิษตามกฎหมายของลาว และจากข้อมูลที่ตรวจวัดโดยกรมควบคุมมลพิษของไทย ณ จุดตรวจวัดในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ก็ยังไม่พบค่าสารมลพิษที่เกินมาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในข้อกังวลของประชาชน ทางออกของการแก้ไขปัญหานี้ คือการผลักดัน "ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด" ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากผ่านเป็นกฎหมายแล้ว จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ให้อำนาจแก่ประเทศไทยในการบริหารจัดการ กำกับดูแล และกำหนดความรับผิดชอบของผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษข้ามแดนได้ รวมถึงการกำหนดมาตรการเยียวยาหากเกิดผลกระทบขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ยังยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน โดยได้มีการตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อบูรณาการการทำงาน และจะนำข้อเสนอแนะของผู้ถามกระทู้ เรื่องการย้ายจุดติดตั้งสถานีตรวจวัดอากาศไปพิจารณาอย่างจริงจังต่อไป
ขณะที่ พล.ต.ท. วันไชย เอกพรพิชญ์ สว. ถามถึงผลกระทบของมลพิษข้ามพรมแดนจากโรงไฟฟ้าหงสาใน สปป. ลาว ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหภาพยุโรป (EU) จากการที่ EU เตรียมใช้มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism - มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ควบคุมสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการปล่อยคาร์บอนที่สูงในปี 2026
นายเฉลิมชัย กล่าวชี้แจงว่า จากคำถามของ พล.ต.ท. วันไชย สะท้อนความกังวลเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาล และมาตรการ CBAM ของ EU ที่จะกระทบต่อภาคธุรกิจไทยที่ต้องรายงานปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสินค้าส่งออก ที่ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการขนส่ง อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นและเสียเปรียบทางการค้า
“ผมขอตอบแบ่งการตอบออกเป็นสองประเด็นหลัก ที่สอดคล้องกับข้อกังวลที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ประเด็นที่ 1 ผลกระทบจากโรงไฟฟ้าหงสา ต้องรู้จักพื้นที่และสถานการณ์ที่แท้จริง แม้โรงไฟฟ้าหงสาจะตั้งอยู่ใน สปป. ลาว แต่จุดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุดคือ พื้นที่จังหวัดน่าน โดยเฉพาะหมู่บ้านชายแดน ซึ่งจากข้อมูลที่กระทรวงฯ ได้ไปทำการสำรวจมาแล้วอย่างละเอียดพบว่า จังหวัดน่านมีพืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิด และมีสินค้าที่ได้รับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) อีก 2 ชนิด ได้แก่ ส้มสีทองและข้าวก่ำล้านนา แต่ในปัจจุบันยังไม่มีสินค้าเกษตรจากพื้นที่นี้ส่งออกไปยัง EU จึงทำให้ประเทศไทยไม่มีผลกระทบโดยตรงในประเด็นนี้ โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ทำงานในเชิงรุก ที่ได้ตั้งจุดตรวจวัดคุณภาพอากาศและสารปนเปื้อนในพื้นที่ชายแดนแล้วอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการตรวจสอบก็พบว่ามาตรฐานของสารต่างๆ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและแนวโน้มการปล่อยสารพิษลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นการยืนยันว่าถึงแม้จะเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมโดยตรง แต่ประเทศไทยก็มีกลไกในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อยู่เสมอ
ประเด็นที่ 2 การเตรียมพร้อมรับมือภาษีคาร์บอน ไทยต้องพัฒนารอบด้านเพื่ออนาคตสำหรับมาตรการ CBAM ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในวงกว้างนี้ มาตรการนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคตทั่วโลกจะหันมาใช้มาตรฐานเดียวกันเพื่อประเมินและลดการปล่อยคาร์บอนเครดิต ขณะที่ ทส. ไม่ได้หยุดอยู่แค่การรับมือกับ EU แต่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเวทีโลก ซึ่งภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่ส่งออกไปต่างประเทศ เวลานี้ได้ตื่นตัวเป็นอย่างมาก และมีการเตรียมความพร้อมมาเป็นเวลานานแล้ว จากการที่มีโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การปลูกป่า เพื่อชดเชยคาร์บอนเครดิต ซึ่ง ทส. รับหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง“คอยให้ความรู้และคำแนะนำเพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้อย่างทันท่วงที” รมว.ทส. กล่าว
นายเฉลิมชัย ยังได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจ จากการที่ ทส. มีการแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปลูกป่าในพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีการเพิ่มชนิดพืชที่สามารถปลูกและนำไปแปรรูปเป็นสินค้าได้จาก 58 ชนิดเป็นกว่า 200 ชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยัง EU และเป็นการช่วยให้ประชาชนสามารถนำผลผลิตที่ปลูกขึ้นมาขายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย เรื่องนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี "กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ในสังกัด ทส. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงานและให้ข้อมูลกับภาคธุรกิจ จะทำให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ