โลกป่วน ไทยป่วย บีบรัฐบาลพ้นอำนาจ
โลกป่วน ไทยป่วย บีบรัฐบาลพ้นอำนาจ
ประเทศไทยเจอ“โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศกำแพงอัตราภาษีสินค้านำเข้า 19% จากเดิม 36% แม้เป็นข่าวดีที่ยังอยู่ในระนาบเดียวกับชาติอาเซียนที่เป็นคู่แข่งของไทย
แต่อัตราภาษีดังกล่าวค่อนข้างสูง ต้องล้างหูรออีก 1 เดือน รัฐบาลเตรียมนำเงื่อนไขและรายละเอียดทั้งหมดเข้าที่ประชุมรัฐสภา ถึงเวลานั้นคงได้รู้กันดีลครั้งนี้ไทยต้องแลกกับอะไรบ้าง
เช่น นำเข้าสินค้า 0% นำเข้าตามโควต้าเท่าที่ไทยขาดแคลน การซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 100 ลำในช่วง 5-10 ปี มูลค่าเท่าไหร่ การเปิดประตูให้บริษัทไอเทคในสหรัฐฯมาลงทุนในไทย
เงื่อนไขและรายละเอียดเหล่านี้กับการตั้งรับของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในช่วงกระแสดิ่งเหว บนลมพายุแห่งการต่อต้านหนักหน่วงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เผชิญมรสุมเศรษฐกิจ พายุวิกฤติชายแดนไทยกัมพูชา พายุลมร้อนทางการเมือง และชนักปักหลังที่ปักคาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
โดยพลพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มั่นใจในดีลลับเป็นเสื้อเกราะทำให้เดินฝ่าวิกฤติเหล่านี้ไปได้
แต่คนที่อยู่ตรงกลางๆ ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ประสานเสียงไปทิศทางเดียวกัน เฉพาะการเดินฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ ก็ทำเอารัฐบาลเพื่อไทยเสียทรง เพราะ “โลกป่วน ไทยป่วย” เป็นคำที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ระบุเอาไว้อย่างแหลมคมเกี่ยวกับภูมิยุทธศาสตร์ไทย ท่ามกลางภูมิทัศน์โลกยุคใหม่
โดยนายสุวิทย์พยายามปลุกสังคมไทยให้เห็นโลกยุคใหม่ไร้ระเบียบ แต่ประเทศไทยยังไร้รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ประชาธิปไตยเปราะบาง รัฐราชการไร้ประสิทธิภาพ “ภูมิทัศน์เชิงยุทธ์ศาสตร์”รับมือโลกป่วน ไทยป่วย ไม่ผูกติดกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง
เป็นหน้าที่ของสังคมไทยต้องแปรเปลี่ยนพลังกระแสชาตินิยม เป็นเข็มทิศวางยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเชิงยุทธศาสตร์ ให้ประเทศไทยอยู่รอดอย่างมีอธิปไตย อยู่ได้ทั้งภาวะวิกฤติภายในและระหว่างประเทศ
ในเมื่อโลกเข้าสู่ยุคสหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากับจีนในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี การปักธงขยายอิทธิพลทางทะเล อาเซียนกลายเป็นพื้นที่แผ่ขยายอิทธิพลของ 2 ขั้วมหาอำนาจ แม้ฉากหน้าดูกัมพูชาเป็นฐานยุทธศาสตร์ของจีน แต่กำลังหักหลังคบค้ากับสหรัฐฯ
แต่ไทยติดหล่มความเงียบงันเชิงยุทธศาสตร์ ถูกใช้เป็นรัฐกันชน ดังนั้นนายสุวิทย์เสนอเป้าหมายใหญ่ในเชิงยุทธศาสตร์สี่ขา
ขอเน้นถึงเฉพาะขาที่เกี่ยวกับการสร้างอำนาจภายในประเทศ ทั้งด้านอาหาร พลังงาน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลทุกชุดพูดถึง มีนโยบายชัดเจน แต่ยังขาดพลังขับเคลื่อนทำให้โลกสะเทือน
อีกขาที่รัฐบาลพูดถึงหลังอาหารสามมือ คือด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่สหรัฐบีบให้ไทยเปิดรับบริษัทเหล่านี้เข้ามาลงทุนไทยแลกปิดดีลกำแพงภาษี 19%
จุดนี้ทางนายสุวิทย์ยังเสนอให้ “ยกระดับการพึ่งตนเองในเทคโนโลยี พลังงาน ความมั่นคงทางไซเบอร์” แต่ทั้งหมดทั้งมวลในเมื่อรัฐบาลที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ประชาธิปไตยเปราะบาง รัฐราชการไร้ประสิทธิภาพ คือ ประเทศไทยป่วย
นับเป็นพลังของเยาวชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ต้องแปรพลังชาตินิยม ร่วมวางเกมยาวเป็นประเทศที่ปลอดภัยจากขั้วมหาอำนาจ เป็นพื้นที่นวัตกรรม และเป็นประเทศที่พึ่งพาได้
โดยเริ่มต้นได้ทันที เพื่อกดดันให้รัฐบาลที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แถมบีบให้ทุกพรรคการเมืองต้องแข่งขันออกนโยบายประเทศไทยที่ปลอดภัยจากขั้วมหาอำนาจ ประเทศแห่งนวัตกรรม และประเทศที่พึ่งพาได้
#มะม่วง แปดริ้ว