ศีลเสมอกัน?
โปรดฟัง (อ่าน) อีกครั้ง!
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทบกระทั่งกันของทหารชั้นผู้น้อยในพื้นที่ หากยึดหลักการที่ว่าพื้นที่เขตแดนที่ไม่ชัดเจนหรือยังไม่มีการปักปัน
ควรเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายถอยออกไปก่อน หรือเป็นพื้นที่ ‘No Man’s Land’ ที่ไม่มีผู้ครอบครอง ก็จะไม่เกิดการกระทบกระทั่งกันเช่นนี้..
ทั้งสองรัฐบาลมีการพูดคุยกันตลอด และตนเองก็มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน เป็นประจำ..หากจะเกิดการยิงกัน ก็ขอให้เปลี่ยนเป็นการเตะตะกร้อร่วมกัน เพื่อกระชับมิตร”
นี่..เป็นคำกล่าวของนายทักษิณ ชินวัตร ก่อนนี้ แต่บัดนาวสนามตะกร้อที่ว่านั้นได้กลายเป็น “สนามรบ” ไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะเขมรไม่ได้อ้อยสร้อย..แม่งง..ยิงเลย!
ครับ..คนไทยทำมาหากิน ใช้ชีวิตด้วยความสงบสุขอยู่ดีๆ ก็ไปดีล-ไปตกลงให้คนที่หนีคุก-โกงชาติบ้านเมืองกลับเข้ามาโดยไม่ต้องติดคุกสักวันเดียว จะเพื่อหวัง (ประโยชน์) อะไรก็ช่าง..
ตอนนี้ก็คงจะตาสว่าง เห็นชัดแล้วว่า ตั้งแต่ไฟเขียวให้นายทักษิณกลับมาเหยียบแผ่นดินไทย ไม่เคยมีสักชั่วโมง สักวันที่สังคม-คนไทยจะสงบสุข..
เริ่มจากเหยียบแผ่นดินปุ๊บ เข้าเรือนจับแป๊บ แล้วไปนอน (จริงหรือไม่) อยู่ห้องสวีทชั้น 14 รพ.ตำรวจ ก็มีแต่ความวุ่นวายมาโดยตลอด
จนออกมาจากโรงพยาบาล (บ้าน) ความวุ่นวายโกลาหลจากคนผู้นี้ก็ยิ่งทวีคูณ ความสุขประชาชนที่เคยมีได้หายไปเกลี้ยง..
วันๆ ได้แต่พากันนั่งบ่น-นั่งทุกข์ใจ ไม่รู้จะทำมาหากินกันอย่างไร และประเทศไทยจะตกอยู่ใต้อำนาจนายทักษิณ ที่มีลูกสาวไร้เดียงสาเป็นนายกฯ ไปอย่างนี้อีกนานแค่ไหน?
รัฐบาลส้น..ก็ไม่เคยคิดทำอะไรที่พอจะเห็นเป็นแสงสว่างให้ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง และในท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น
สองพ่อลูกตระกูลฮุนกับตระกูลชินที่รักกันปานจะแหกตูดดมมาหลายทศวรรษ ก็มาผิดใจกันด้วยผลประโยชน์ที่ตกลงกันไม่ได้!
และแทนที่ทั้งสองตระกูลจะแก้ปัญหาประสาญาติ-ดองตามลำพัง กลับลากเอาประเทศชาติเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ทหารชายแดนทั้งสองฝ่ายต้องพลอยเดือดร้อน..
ประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็พลอยหนักอก-ทุกข์ใจ เพราะไม่มีใครที่ต้องการศึกสงคราม ให้ทหารยิงปืนใส่กัน บาดเจ็บล้มตาย!
ซึ่งหากนายทักษิณไม่เห็นแก่ตัวเสียตั้งแต่แรกเหยียบแผ่นดินเกิด ยอมติดคุกตามพระบรมราชโองการ และเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานตามที่ได้ให้สัจวาจา..
ความวุ่นวายในประเทศชาติก็จะไม่มี ความอัปรีย์ก็จะไม่บังเกิด หรืออาเพศใดๆ ก็จะไม่อุบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนี้!
แล้วนี่..ทหารเขมร-ทหารไทยปะทะกันแล้ว นายทักษิณที่ “เสือกทุกเรื่อง” จะไม่คิดหาทางแก้ไขเอาสนามรบกลับมาเป็น “สนามเตะตะกร้อ” หรืออย่างไร?
หรือว่า “หลังเสียงปืนดัง” ก็ตัวใครตัวมัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารที่ถูกตั้งคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม” สู้รบไป..
ส่วนคนผูกเรื่อง-สร้างปัญหา-ความขัดแย้ง (ผลประโยชน์) อย่างนายทักษิณก็นั่งดินเนอร์กับพลพรรคผู้จงรักภักดี และผู้สยบยอมอยู่ใต้แทบเท้าในห้องแอร์สบายใจ!
เออ..พูดถึง “ผู้สยบยอม” ก็ไม่อยากเอ่ยชื่อให้เป็นเสนียดปาก แค่เห็นจากภาพที่ทั้งยืนกุมไข่ ยืนพนมมือไหว้สวย น้อมตัวโค้งด้วยความเคารพก็ให้รู้สึกคลื่นไส้เป็นยิ่งนัก
เลิก-พอทีนะกับคำว่า “ยึดดีเอ็นเอลุงตู่” เพราะได้รู้-เห็นสันดานแต่ละคนหมดจดแล้ว ไม่มีสักตัวที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้ และไม่มีสักรายที่จะยึดมั่นอมตวาจาของ “ป๋าเปรม”..
“…..เราต้องกล้าหาญพอที่จะไม่ยกมือไหว้คนโกง คนโกงชาติบ้านเมือง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เป็นญาติพี่น้อง เป็นเพื่อนฝูงสนิทสนมกัน
แต่ถ้าเขาได้ร่ำรวยมาเพราะเขาโกง เราไม่จำเป็นจะต้องยกมือไหว้เขาหรอก อยากให้ทุกคนไปสอนคนอื่น ให้เกลียดคนโกง
ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ทุกคนเกลียดคนโกง เพราะคนโกงคือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่มีในชาติบ้านเมืองของเรา
ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันทำเรื่องนี้ คือเราไม่ได้รักชาติ เราไม่ได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน เราทำให้ชาติได้รับความอับอาย เป็นสิ่งที่พวกเราต้องไม่ยอม
ต้องทำให้ได้ว่า ชาติเราไม่โกง หรือโกงแต่น้อย ความโกงในชาติของเราค่อยๆ หายไปทีละนิด และจะหายไปในที่สุด ด้วยฝีมือของพวกเรา ด้วยความพยายามของพวกเรา
ความเสียสละของพวกเรา ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองของเรามีเกียรติ และเป็นชาติที่ไม่โกง……”
เห็นภาพใน “วันเลี้ยงอำลา” กันแล้วก็ได้แต่รำพึง..
พวกมึงนี่..ศีลเสมอกันเลยนะ!.
สันต์ สะตอแมน