โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

EIC เจาะ Import influx trap…กับดักเศรษฐกิจไทยในยุคพึ่งพานำเข้าสูง

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การนำเข้าของไทยขยายตัวเร่งขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2020 เช่นเดียวกับการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากจีนที่เพิ่มบทบาทมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรมหลักของประเทศ มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยในช่วงปี 2020 – 2024 ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 10% สูงกว่าการเติบโตของ GDP และมูลค่าการส่งออก ส่งผลให้สัดส่วนการนำเข้าสินค้าต่อ GDP เพิ่มขึ้นสู่ 53% ณ ปี 2024 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 12 ปีอีกทั้ง ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ไทยเผชิญภาวะขาดดุลการค้าเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ปรากฏชัดขึ้นจากการที่จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง หรือครองส่วนแบ่งการนำเข้าสูงกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่ารวม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอุตสาหกรรมสำคัญของไทย เช่น เหล็ก พลาสติก และยานยนต์ หันไปพึ่งพาและกลายเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของจีนกันมากขึ้น
ไทยกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญในการระบายสินค้าส่วนเกินจากจีน ผนวกกับกระแสนิยมการซื้อสินค้าออนไลน์ และการเพิ่มจำนวนของธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก ก็ถือเป็นปัจจัยเร่งให้สินค้าจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คาดว่าเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) การเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกจากจีนซึ่งเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจากจีนเข้าสู่ประเทศไทยขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงเกือบ 4 เท่า 2) การเติบโตของธุรกิจแพลตฟอร์มข้ามชาติที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ไม่เพียงกระตุ้นให้เกิดการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค แต่รายได้จากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์เหล่านี้ มักไม่ได้หมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ และ 3) การเพิ่มขึ้นของธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก (High import content) ทั้งในภาคก่อสร้าง, ร้านอาหาร, ภาคบริการ รวมถึงภาคการผลิต เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก และพลาสติกโดยธุรกิจเหล่านี้นอกจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยในระดับต่ำแล้ว บางส่วนยังอาจเข้ามาลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีจากชาติตะวันตก ทำให้การดำเนินกิจการมักเน้นการนำเข้าสินค้ามาประกอบขั้นต้น ก่อนส่งออกไปยังประเทศที่สามต่อไป
สินค้านำเข้ากำลังก้าวขึ้นมามีบทบาททดแทนสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งในแง่การบริโภคและการส่งออก อีกทั้ง ยังพบสัญญาณที่อาจบ่งชี้ได้ว่า ธุรกิจภาคอุตสาหกรรมของไทยเกือบ 3,000 แห่ง เข้าข่ายดำเนินกิจการแบบซื้อมา–ขายไป ซึ่งบางส่วนเสี่ยงที่จะเป็นเพียงโรงงานแปรรูปเบื้องต้นหรือดำเนินกิจกรรมสวมสิทธิ ผลการวิเคราะห์โดย SCB EIC พบว่า 1) การบริโภคภายในประเทศและภาคส่งออกของไทยมีแนวโน้มพึ่งพาสินค้าที่ผลิตในประเทศลดลง และหันไปพึ่งพาสินค้านำเข้า โดยเฉพาะจากจีนมากขึ้น ส่งผลกระทบให้ภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก แผงวงจร เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน และ 2) ธุรกิจภาคการผลิตในไทยเกือบ 3,000 แห่ง อาจกำลังดำเนินธุรกิจในลักษณะที่เน้นการซื้อมา-ขายไป หรือเป็นเพียง Traderซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าบางส่วนเข้าข่ายกิจกรรมสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแผงวงจร, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ผลกระทบจากแนวโน้มดังกล่าวจะทำให้ผู้ส่งออกของไทยต้องเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น อีกทั้ง ในระยะยาวโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอาจค่อย ๆ เปลี่ยนจาก ‘ประเทศผู้ผลิต’ ไปสู่บทบาท ‘ผู้ซื้อและประเทศทางผ่าน’ ในห่วงโซ่อุปทานโลกและทำให้เกิดการเสื่อมถอยอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมการผลิตภายในประเทศ
นโยบายเชิงรุกจากภาครัฐที่ครอบคลุม ทั้งด้าน ‘การปกป้อง’ ‘กำกับดูแล’ และ ‘การส่งเสริม’ จะเป็นกลไกสำคัญ ในการรักษาความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาวแม้การเปิดรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะมีส่วนช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย อีกทั้ง สินค้านำเข้าก็ช่วยให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีตัวเลือกและระดับราคาหลากหลาย แต่รูปแบบการเติบโตที่อิงกับโมเดลซื้อมา-ขายไป และกิจกรรมที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างแท้จริงภายในประเทศ อาจกลายเป็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้างดังนั้น การปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ การกำเนิดนโยบายเชิงรุกเพื่อกำกับดูแลการลงทุน ตลอดจนการคัดกรองขอบเขตและคุณภาพสินค้านำเข้า จึงเป็นกลไกสำคัญในการรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยท่ามกลางทิศทางการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

บทบาทการนำเข้าต่อเศรษฐกิจไทยในยุคหลังโควิด-19

มูลค่าการนำเข้าของไทยเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 และกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยกลับมาขาดดุลการค้าเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน (ระหว่างปี 2022–2024)
หลังจากที่เกินดุลต่อเนื่องมานับตั้งแต่ปี 2015-2021 ซึ่งในฐานะประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิด (Small and open economy) การมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก ทั้งในด้านการนำเข้าและส่งออก ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2020 ทิศทางการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้เร่งตัวขึ้นจนเติบโตเฉลี่ยราวปีละ 10% มากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (2015-2019) กว่าเท่าตัว อีกทั้ง ยังขยายตัวสูงกว่ามูลค่าการส่งออกส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเมื่อปี 2024 มีสัดส่วนสูงถึง 53% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และทำให้ไทยขาดดุลการค้ามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2022 รวมถึงในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 ก็ยังคงมีแนวโน้มขาดดุลสะสมสูงถึงกว่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 1)

โครงสร้างหมวดหมู่สินค้านำเข้าของไทยโดยรวมยังคงใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 (ระหว่างปี 2015–2019) โดยกลุ่มเครื่องจักร, อิเล็กทรอนิกส์, พลังงาน และเหล็ก ยังคงมีสัดส่วนการนำเข้าสูงที่สุด หรือ คิดเป็นกว่า 60% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในมิติของประเทศคู่ค้า พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยบทบาทของญี่ปุ่นในฐานะประเทศคู่ค้าหลักทยอยปรับลดลง สวนทางกับมูลค่านำเข้าจากจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศคู่ค้าที่ไทยนำเข้าสินค้ามากที่สุด โดยมีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 1 ใน 4 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอุตสาหกรรมสำคัญ ของไทย อาทิ เหล็ก, พลาสติก และยานยนต์ มีการปรับเปลี่ยนแหล่งที่มาของปัจจัยการผลิตหรือได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของจีนกันมากขึ้นนับตั้งแต่สงครามการค้าระลอกแรกเมื่อปี 2018 (รูปที่ 2)

แม้ว่าการนำเข้าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและกลไกทางการค้าที่จำเป็นสำหรับไทยซึ่งมีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลกในระดับสูง แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็วของมูลค่านำเข้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เริ่มส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการฉุดรั้งการฟื้นตัวของภาคการผลิตในประเทศการเพิ่มแรงกดดันให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการลดทอนโอกาสในการขยายฐานลูกค้าของผู้ผลิตไทยไปยังตลาดโลก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าและมาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น โดยแนวโน้มเหล่านี้อาจนำไปสู่บทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกที่ลดลงอีกทั้ง ยังจะส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว

ปัจจัยกระตุ้นการทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้า

ประเทศไทยและหลายชาติในอาเซียนกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในการระบายสินค้าส่วนเกินโดยเฉพาะจากจีนและประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะเดียวกัน กระแส E-commerce และมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ก็ยิ่งเร่งให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างชาติ รวมถึงภาคธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องคาดว่ามีแรงขับเคลื่อนหลักมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้

  • ภาวะเศรษฐกิจจีนขยายตัวชะลอลง ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ตลาดต่างประเทศ

นับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตเพียงปีละประมาณ 5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2015–2019) ซึ่งขยายตัวได้ราว 7% ต่อปี การชะลอตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าว มีสาเหตุมาจากกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศที่ยังเปราะบาง กอปรกับแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างจีนและชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ก็ทวีความเข้มข้นขึ้น ดังนั้น ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ รัฐบาลจีนจึงได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเติบโตจากภายในประเทศผ่านมาตรการส่งเสริมกิจกรรมการผลิตเพื่อรักษาระดับการจ้างงานและเสถียรภาพของภาคธุรกิจ ควบคู่กับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยอุปสงค์ภายในจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างล่าช้า ผนวกกับตลาดส่งออกก็เผชิญความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น จึงก่อให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดในหลายอุตสาหกรรม จนทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งระบายสินค้าออกสู่ตลาดต่างชาติ สอดคล้องกับการส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก โดยไทยเป็นหนึ่งในปลายทางสำคัญในการเป็นแหล่งระบายสินค้าออกจากประเทศจีน โดยเฉพาะในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าจีนมายังไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ระหว่างปี 2021 – 2024 และขยายตัวสูงถึง 21% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงเกือบ 4 เท่า (ภาพที่ 3) ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการเพิ่มขึ้นของสินค้าจากจีนเข้าสู่ไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียน คือ การขยายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าจากชาติตะวันตก ผนวกกับการมีความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีและขั้นตอนทางศุลกากรให้แก่สินค้านำเข้า

ในระยะต่อไป นอกจากการทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนแล้ว ไทยยังมีแนวโน้มเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งมีปัจจัยเร่งจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ทำให้สมรภูมิการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยหนึ่งในสัญญาณที่เริ่มปรากฏ คือ การเร่งตัวของมูลค่าส่งออกเหล็กจากเกาหลีใต้มายังประเทศในภูมิภาคอาเซียน ภายหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีแบบเฉพาะเจาะจง (Specific tariffs) ในหมวดสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมเมื่อเดือนเมษายน 20251 ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวอาจยิ่งซ้ำเติมภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศไทยให้ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้า และยังสร้างความเสี่ยงที่ไทยจะถูกใช้เป็นทางผ่านในการส่งต่อสินค้าไปยังประเทศที่สาม เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการทางภาษีของประเทศปลายทาง

2.การเติบโตของธุรกิจและแพลตฟอร์ม E‑commerce ข้ามชาติ

พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผนวกกับการเข้ามาแข่งขันของแพลตฟอร์ม E‑commerce ข้ามชาติ ที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง ทั้งในแง่ความหลากหลายของสินค้าและระดับราคาได้กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่งให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน สอดคล้องกับรายงาน The Future Shopper Report 2023 จัดทำโดย Wunderman Thompson ที่ระบุว่า กว่า 1 ใน 3 ของการจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศไทย เป็นการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ โดยหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เสื้อผ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในครัวเรือน ทั้งนี้แม้ธุรกิจ E-commerce จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในไทย แต่อานิสงส์ต่อเศรษฐกิจยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากแพลตฟอร์มยอดนิยม อาทิ Shein, Temu และ AliExpress ยังคงไม่มีการลงทุน จดทะเบียนธุรกิจ หรือจัดตั้งสำนักงานภายในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ รายได้จากการเติบโตของธุรกิจ E-commerce บางส่วนจึงไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มหรือหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการจัดเก็บภาษี การจ้างงาน หรือแม้แต่การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว

3.การเพิ่มจำนวนของธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก (High import content)

การเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศส่วนหนึ่งสะท้อนผลของกระแสโลกาภิวัตน์ที่เอื้อต่อการซื้อขายสินค้าและบริการข้ามพรมแดนได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้มูลค่านำเข้าของไทยเร่งตัวขึ้นในระยะหลัง มาจากการเพิ่มจำนวนของภาคธุรกิจที่มีการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าในสัดส่วนที่สูง (High import content) ซึ่งกิจการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งจากผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ ที่บางส่วนอาจมีการดำเนินธุรกิจเพียงเพื่อใช้ประเทศไทยเป็น 1) ฐานการประกอบหรือแปรรูปสินค้าขั้นต้น (Mini-processing) เช่น การนำเข้าชิ้นส่วนหรือสินค้าประกอบเกือบเสร็จจากประเทศต้นทางแล้วนำมาประกอบขั้นสุดท้ายในไทยเพื่อส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม และ 2) จุดเปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อให้เข้าเกณฑ์สิทธิประโยชน์ทางการค้าหรือหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี (กิจกรรมสวมสิทธิ) เช่น การนำมาเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ติดฉลากใหม่ หรือแปะป้าย Made in Thailand โดยไม่ได้มีกระบวนการผลิตจริง ซึ่งการดำเนินธุรกิจในลักษณะดังกล่าว มักไม่ได้พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศ อีกทั้ง ยังสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจไทยในระดับต่ำ ทั้งนี้สัญญาณบ่งชี้ว่า ธุรกิจที่มีการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลักกำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย สามารถสะท้อนให้เห็นผ่านข้อมูลเศรษฐกิจและการค้าใน 2 แง่มุมสำคัญ ได้แก่

I.บทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทยเพิ่มขึ้น ทั้งในฐานะคู่ค้าวัตถุดิบและในฐานะนักลงทุน ข้อมูลการนำเข้าชี้ว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางของไทยขยายตัวต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากสินค้าจีน ซึ่งมูลค่านำเข้าเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 9% ในช่วงปี 2018–2024 เทียบกับอัตราเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% จากประเทศคู่ค้าอื่น ๆ โดยกลุ่มสินค้าทุนที่มีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ เหล็ก, โลหะแปรรูป, อะลูมิเนียม และเครื่องจักร ขณะที่ในหมวดสินค้าขั้นกลางที่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น ได้แก่ ยางสังเคราะห์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ซึ่งแนวโน้มการหันมาใช้จีนเป็นแหล่งนำเข้าหลัก อาจเกิดจากทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างคู่ค้าของผู้ประกอบการไทย รวมถึงบทบาทของจีนที่เข้ามาลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น โดยเฉพาะหลังสงครามการค้าระลอกแรก จนทำให้มูลค่าโครงการลงทุนสะสมจากจีน (และฮ่องกง) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,025 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าโครงการลงทุนและร่วมทุนจากต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนระหว่างปี 2018 ถึงไตรมาสแรกของปี 2025 (รูปที่ 4) โดยอุตสาหกรรมหลักที่มีการย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, แผงวงจรและโซลาร์เซลล์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ยางและผลิตภัณฑ์ยาง รวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วน อย่างไรก็ตาม แม้การนำเข้าสินค้าจากจีนจะมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน อีกทั้ง เม็ดเงินลงทุนก็มีส่วนช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แต่อานิสงส์ต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เพราะการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจสะท้อนการขยายตัวของธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก ซึ่งมักไม่ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงที่ยั่งยืนกับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ

II.ความไม่สอดคล้องกันระหว่าง “มูลค่าการส่งออกสินค้า” กับ “มูลค่าการส่งมอบสินค้าส่งออกที่ผลิตจากโรงงานในประเทศ” ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้นระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยกับระดับการผลิตเพื่อส่งออกของภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม 2024 ถึงพฤษภาคม 2025 ที่มูลค่าการส่งออกสินค้า (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวได้ถึง 13% ในขณะที่มูลค่าการผลิตเพื่อส่งออกจากโรงงานในประเทศ กลับหดตัวลง -0.5% ทั้งนี้ความไม่สอดคล้องกันระหว่างมูลค่าการส่งออกและการผลิตในประเทศ อาจเกิดขึ้นได้จาก2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) ข้อจำกัดด้านความครอบคลุมของกลุ่มตัวอย่างในฐานข้อมูลผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ซึ่งใช้ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างโรงงานที่จดทะเบียนก่อนปี 2021 ทำให้โรงงานใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มทุนต่างชาติ บางส่วนอาจยังไม่ถูกสำรวจหรือไม่ถูกสะท้อนในชุดข้อมูลดังกล่าวและ 2) สินค้าส่งออกบางส่วนอาจไม่ได้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานในประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นไปได้ของกิจกรรมสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า ที่อาจกำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้นในภาคส่งออกไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาตรการกีดกันทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น

การเพิ่มขึ้นของธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก (High import content) ซึ่งสะท้อนผ่านมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางที่เร่งตัวขึ้น ประกอบกับความไม่สอดคล้องกันระหว่างมูลค่าการส่งออกกับกิจกรรมการผลิตภายในประเทศ อาจบ่งชี้ได้ว่าสินค้าบางส่วนที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยไม่ได้เกิดจากกระบวนการผลิตในประเทศ หรืออาจเป็นเพียงผลจากการที่ไทยถูกใช้เป็นประเทศทางผ่าน เพื่อเปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม ซึ่งหากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการในประเทศจำนวนไม่น้อยอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง และเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

ประเมินความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจไทยในยุคที่พึ่งพาการนำเข้าเพิ่มขึ้น

สินค้านำเข้ากำลังก้าวขึ้นมามีบทบาททดแทนสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งในแง่การบริโภคและการส่งออก อีกทั้ง SCB EIC ประเมินว่า ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมของไทยบางส่วน อาจกำลังดำเนินธุรกิจโดยเน้นการซื้อมา–ขายไป ทดแทนการผลิตจริงกันมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม และบั่นทอนขีดความสามารถทางการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว SCB EIC ได้จัดทำการวิเคราะห์เพื่อประเมินแรงกดดันจากแนวโน้มการพึ่งพาสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นของระบบเศรษฐกิจไทย โดยผลการศึกษาชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญใน 2 มิติหลัก ดังนี้

1.สินค้านำเข้ากำลังก้าวขึ้นมาแทนที่สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งในแง่การบริโภคและการส่งออก
รูปที่ 5 แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่างดัชนีมูลค่าการนำเข้า โดยเฉพาะจากประเทศจีน กับเครื่องชี้ด้านอุปสงค์ของเศรษฐกิจไทย ทั้งดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) และภาคส่งออก ในทางกลับกัน นับตั้งแต่ปี 2021 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ซึ่งสะท้อนกิจกรรมการผลิตในประเทศ กลับมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่สวนทางกับทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก ซึ่งความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปนี้สะท้อนสัญญาณเบื้องต้นว่า ความต้องการสินค้าเพื่อการบริโภคและส่งออกของไทยเริ่มพึ่งพาสินค้านำเข้าเพื่อทดแทนสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักอย่างชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อะลูมิเนียม และเหล็ก ต่างก็เผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้า โดยเฉพาะจากประเทศจีน จนมีส่วนทำให้กิจกรรมการผลิตในประเทศไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่

2.SCB EIC ประเมินว่า ธุรกิจการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเกือบ 3,000 แห่งทั่วประเทศ อาจดำเนินกิจการภายใต้โมเดลการค้าแบบซื้อมา–ขายไป และมีความเป็นไปได้ว่าบางส่วนจะเข้าข่ายกิจกรรมสวมสิทธิซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างมูลค่าการส่งออกกับกิจกรรมการผลิตเพื่อส่งออกจากโรงงานภายในประเทศ SCB EIC ได้จัดทำการศึกษาเพื่อประเมินปัจจัยเชิงโครงสร้างที่อาจเป็นแรงฉุดให้ภาคการผลิตไทยฟื้นตัวได้ช้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ 1) ข้อมูลระดับมหภาคจากข้อมูลมูลค่าการส่งออกสินค้าและดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างกิจกรรมการผลิตภายในประเทศและมูลค่าการส่งออกสินค้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และ 2) ข้อมูลระดับจุลภาคจากฐานข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ซึ่งครอบคลุมประมาณ 150,000 กิจการในภาคการผลิตทั่วประเทศ โดยวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบในระดับอุตสาหกรรมย่อย(Sub-sector) ผ่านอัตราส่วนทางการเงินหลัก 3 ประเภท ได้แก่ :

  • อัตราส่วนต้นทุน (Cost ratio) ใช้วัดระดับมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการแปรรูปสินค้าโดยหากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของกิจการนั้น ๆ สูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ อาจสะท้อนถึงการไม่ได้มีกิจกรรมการผลิตจริงหรือมีเพียงกระบวนการแปรรูปขั้นต้นซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในระดับต่ำ
  • อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (Inventory turnover ratio) สะท้อนรอบการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง หากอัตราส่วนดังกล่าวมีค่าสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอาจบ่งชี้ถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เน้นการซื้อมาขายไปโดยไม่ผ่านกระบวนการผลิตหรือการจัดเก็บสินค้าแตกต่างไปจากรูปแบบการดำเนินธุรกิจโดยทั่วไปของอุตสาหกรรม
  • อัตราส่วนรายได้ต่อสินทรัพย์ถาวร (Revenue-to-fixed asset ratio) ถูกนำมาประเมินประสิทธิภาพหรือความสามารถในการสร้างรายได้จากการใช้สินทรัพย์ถาวร เช่น โรงงาน เครื่องจักร และอุปกรณ์ โดยหากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญอาจสะท้อนว่า ภาคธุรกิจมีการลงทุนหรือใช้ทรัพยากรต่ำ เมื่อเทียบกับความสามารถในการสร้างรายได้

ผลการวิเคราะห์ของ SCB EIC พบว่า ธุรกิจภาคการผลิตในประเทศไทยจำนวนเกือบ 3,000 แห่ง เข้าข่ายกิจการที่มีการดำเนินงานในลักษณะซื้อมา-ขายไป (Trade-based manufacturers)2 อาจไม่มีกระบวนการผลิตจริง หรือแม้จะมีการผลิตก็เป็นเพียงการแปรรูปขั้นต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้ง ยังมีมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในระดับต่ำ หรือมีความสามารถในการสร้างรายได้ไม่สอดคล้องกับขนาดของกิจการ ซึ่งธุรกิจที่เข้าข่ายดำเนินงานในลักษณะนี้มีมูลค่ากิจการรวมกันถึง 1.04 ล้านล้านบาทในปี 2023 หรือประมาณ 5% ของขนาดตลาดในภาคอุตสาหกรรมของไทย (เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากค่าเฉลี่ย 3.4% ในช่วงปี 2020–2022 และเพียง 1.3% ในช่วงปี2014– 2019) ไม่เพียงเท่านี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วน Trade-based manufacturers กระจุกตัวอยู่มาก มักมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้ากับกิจกรรมการผลิตเพื่อส่งออกจากโรงงานภายในประเทศสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตแผงวงจรไฟฟ้า, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, ผลิตภัณฑ์พลาสติกและอะลูมิเนียม รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า (รูปที่ 6) ซึ่งข้อสังเกตนี้เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ความเป็นไปได้ถึงความเสี่ยงของกิจกรรมสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อการส่งออกซึ่งก้าวเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจไทย

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในเบื้องต้นภายใต้สมมติฐานว่า หากธุรกิจภาคอุตสาหกรรมทั้ง 3,000 แห่ง ซึ่งปัจจุบันอาจจะกำลังดำเนินกิจการในรูปแบบซื้อมาขายไปหรือมีเพียงกระบวนการแปรรูปขั้นต้น ต่างหันมาปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปสู่การผลิตจริงภายในประเทศจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทยได้อย่างน้อย 1.5 แสนล้านบาทต่อปี3 หรือคิดเป็นประมาณ 3% ของ GDP ภาคการผลิตในปี 20244 โดยมูลค่าเพิ่มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ และชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมการผลิตที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในประเทศยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับแนวโน้มการนำเข้าที่เร่งตัว

นโยบายเชิงรุกจากภาครัฐที่ครอบคลุมทั้งด้านการปกป้อง กำกับดูแล และการส่งเสริมถือเป็นกลไกสำคัญในการรักษาความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเร่งตัวขึ้นของมูลค่าการนำเข้า การเพิ่มจำนวนของธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก รวมถึงความเสี่ยงจากกิจกรรมสวมสิทธิและโรงงานประกอบขั้นต้นที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยความท้าทายเหล่านี้กำลังเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจากประเทศผู้ผลิต ไปสู่ประเทศที่มีบทบาทเป็นเพียงผู้ซื้อและทางผ่านของสินค้าในห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งในอนาคตอันใกล้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการเผชิญกับมาตรการกีดกันการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น อีกทั้ง ยังอาจทำให้กิจกรรมการผลิตในประเทศทยอยเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จากข้อค้นพบดังกล่าว SCB EIC เห็นว่า ภาครัฐควรเร่งดำเนินนโยบายใน 5 มิติสำคัญ ดังนี้

  • มาตรการปกป้องผู้ประกอบการและสินค้าที่ผลิตในประเทศจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกับธุรกิจและสินค้านำเข้าจากต่างชาติ ซึ่งมาตรการที่เกี่ยวข้องและควรเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วยมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดและมาตรการคุ้มครองชั่วคราวสำหรับสินค้านำเข้าที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมในประเทศ เช่น เหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์และพลาสติก นอกจากนี้ภาครัฐยังควรยกระดับการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานสินค้านำเข้าให้เข้มงวดและรัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ควบคู่กับการกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับสินค้านำเข้า เพื่อเป็นกลไกในการคัดกรองและสร้างสมรภูมิการแข่งขันให้เป็นธรรมกับผู้ผลิตภายในประเทศ
  • การปรับปรุงกลไกการคัดกรองและติดตามการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อลดความเสี่ยงจากกิจกรรมที่เข้าข่ายการแปรรูปขั้นต้นหรือการสวมสิทธิ โดยแม้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะได้ดำเนินการบางส่วนไปแล้ว เช่น การกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ และกระบวนการตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ แต่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองและติดตามการลงทุน ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม อาทิ การลงทุนขั้นต่ำในสินทรัพย์ถาวร อัตราการจ้างงานแรงงานท้องถิ่นในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการพัฒนาระบบติดตามโครงการลงทุนและตรวจสอบโรงงานเชิงลึก เพื่อประเมินมูลค่าเพิ่มและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงภายในประเทศ
  • มาตรการดูแลผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะกระบวนการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสร้างศักยภาพผู้ส่งออกไทย ผ่านการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาแบบบูรณาการระหว่างกรมศุลกากร, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ BOI โดยเน้นการให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค และสนับสนุนการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการบันทึกข้อมูลวัตถุดิบและกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
  • มาตรการยกระดับผลิตภาพกิจกรรมการผลิตในประเทศ โดยสามารถดำเนินการใน 3 แนวทางหลัก คือ 1) พัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น เคมีภัณฑ์ โลหะพิเศษ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เพื่อเพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น 2) สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการไทยผ่านโมเดล Cluster-Based และ Local Supplier Matching โดยมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐและเอกชนเป็นกลไกหนุน และ 3) ขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ศูนย์ R&D และระบบโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรม Deep Tech และ BCG Economy5
  • มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึง E-marketplace ในต่างประเทศ ควบคู่กับการปกป้องผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากแพลตฟอร์มข้ามชาติได้มากขึ้น โดยในส่วนของการส่งออก ควรจัดทำ Thai Product Verified Mark สำหรับผู้ส่งออกรายย่อย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดโลก ขณะที่ในด้านการนำเข้า ควรเร่งปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มต่างประเทศโดยกำหนดเกณฑ์เฉพาะเจาะจงในกลุ่มสินค้าที่ต้องการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ

โดยสรุป เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้างจากการพึ่งพาการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้สินค้านำเข้าเริ่มเข้ามาแทนที่การผลิตภายในประเทศ ทั้งในภาคการบริโภคและการส่งออก ขณะเดียวกันธุรกิจไทยบางส่วนอาจหันมาใช้โมเดลซื้อมา–ขายไป หรือกำลังเป็นเพียงโรงงานแปรรูปเบื้องต้นกันมากขึ้นซึ่งมักมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศค่อนข้างจำกัด ดังนั้น หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป เศรษฐกิจไทยอาจค่อย ๆ สูญเสียบทบาทจาก “ผู้ผลิต” และกลายเป็นเพียง “ผู้ซื้อ” หรือ “ประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก อันจะนำไปสู่การลดทอนศักยภาพของผู้ประกอบการในท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังอาจเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า และการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะยิ่งเพิ่มต้นทุนและบั่นทอนความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจ ดังนั้น โจทย์สำคัญที่ทุกภาคส่วนควรคำนึงถึง คือ การเติบโตร่วมกันอย่างมีคุณภาพและสร้างโอกาสให้ทั่วถึง โดยภาครัฐควรเร่งดำเนินนโยบายเชิงรุกในทุกมิติ ทั้งด้านการปกป้อง คัดกรอง กำกับดูแล และส่งเสริม เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตภายในประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแรงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

บทวิเคราะห์โดยhttps://www.scbeic.com/th/detail/product/Import-influx-trap-140725

อ้างอิง

1.การประกาศขึ้นกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กจากเกาหลีใต้ไปยังสหรัฐระหว่างเดือน เม.ย. – พ.ค. 2025 ปรับลดลง -5% จากปีก่อน ขณะที่การส่งออกมายังไทย, เวียดนาม และสิงคโปร์ ขยายตัว 9% 4% และ 43% ตามลำดับ

2.การวิเคราะห์โดย SCB EIC ภายใต้เกณฑ์การประเมิน คือ หากอุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วนทางการเงินทั้ง 3 ประเภทเกินกว่า 75 percentile ของอุตสาหกรรมย่อยนั้น ๆ จะถูกประเมินให้อยู่ในกลุ่ม Trade-based manufacturers (อ้างอิงการวิเคราะห์จาก 1) OECD Transfer Pricing Guidelines for Multinational Enterprises and Tax Administrations 2) Trade-Based Money Laundering: Risk Indicators, FATF (2020) และ 3) Transshipment and Re-export Analysis, Nelson, C. (2023)

3.SCB EIC ประเมินมูลค่าเพิ่มที่อาจเกิดขึ้น โดยอิงจากส่วนต่างของกำไรขั้นต้น (Gross profit) ที่จะเพิ่มขึ้น หากกิจการทั้ง 3,000 แห่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากการซื้อมาขายไปสู่กระบวนการผลิตจริง โดยสมมติให้บริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการได้ในระดับเดียวกับค่ากลางของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ในแต่ละอุตสาหกรรม (Industry median)

4.อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit) ของภาคธุรกิจ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สามารถใช้สะท้อนถึง GDP ภาคการผลิต ที่คำนวณจากรายได้จากการขายสินค้าและบริการ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินค้าคงคลัง และหักต้นทุนการผลิตขั้นต้น เช่น ค่าวัตถุดิบ, ค่าไฟฟ้าและ เชื้อเพลิง อ้างอิงจากคู่มือการประมวลผลสถิติบัญชีประชาชาติ จัดทำโดยสภาพัฒน์ฯ

5.อุตสาหกรรม Deep Tech ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพ ส่งเสริมการนำกลับมาใช้ซ้ำหรือเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตรและสุขภาพ การผลิตวัสดุจากธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

กทม.นับถอยหลัง ชวนคนกรุงแยกขยะก่อนทิ้ง รับสิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมผ่านแอป BKK WASTE PAY เริ่มต.ค. 2568

24 นาทีที่แล้ว

‘ภูมิธรรม’ จี้สำนักพุทธฯแก้ กม.จัดระเบียบพระ-ดูแลเงินวัด-ครม.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ดึงต่างชาติลงทุน ‘Fin Hub’

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ถ่ายทอดสดการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส.วันที่ 16 ก.ค.68

ฐานเศรษฐกิจ

ถ่ายทอดสดการออกรางวัลสลากออมสิน 16 ก.ค.68 ลุ้นรางวัลพิเศษ 70 ล้าน ตรวจหวยที่นี่

ฐานเศรษฐกิจ

กทม.นับถอยหลัง ชวนคนกรุงแยกขยะก่อนทิ้ง รับสิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมผ่านแอป BKK WASTE PAY เริ่มต.ค. 2568

ไทยพับลิก้า

ทรัมป์เตรียมส่งอาวุธให้ยูเครน กำหนดเส้นตายรัสเซีย 50 วัน

SpringNews

รถเทรลเลอร์เสียหลักชนเสาไฟ ถนนเทพรัตน ขาเข้า ช่วงหน้าซอยบางนาตราด 12 ในช่องทางคู่ขนาน

สวพ.FM91

นักท่องเที่ยว เล่าเหตุการณ์ ก่อนหญิงเขมรชี้หน้าด่าทหารไทย

Khaosod

ปภ.ส่ง Cell Broadcast เตือน 2 ตำบล ‘เชียงดาว’ ระวังด่วน! น้ำป่าหลาก-ดินโคลนถล่ม

เดลินิวส์
วิดีโอ

ชายแดน เดือด! แม่ทับดอกเหมย เดือดกว่า! ฟาดยับเขมร อยากได้ของไทย เอาไปเสือ_ไม่รักษา

BRIGHTTV.CO.TH

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...