Uniqlo หายใจคล่องขึ้น กำแพงภาษีสหรัฐฯ-เวียดนาม ‘ลดฮวบ’ เหลือ 20% รอดพ้นวิกฤตผลกำไร Nintendo, Apple และ Samsung โล่งอกด้วย
การลดกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามที่ประกาศออกมาล่าสุด ได้สร้างความโล่งใจให้กับบรรดาแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก โดยเฉพาะ Uniqlo ซึ่งพึ่งพาเวียดนามเป็นฐานการผลิตสำคัญ หลังจากที่เคยหวั่นวิตกว่าอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงถึง 46% แต่สุดท้ายกลับจบลงที่ 20% ช่วยให้บริษัทรอดพ้นจากผลกระทบที่อาจฉุดผลกำไรลงอย่างหนัก
ก่อนหน้านี้ Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ซึ่งมีโรงงานคู่สัญญาในเวียดนามถึง 60 แห่งจากทั้งหมด 380 แห่งทั่วโลก ได้ย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหนีต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น แต่หากต้องเผชิญกับกำแพงภาษีอัตราเดิม กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงนี้ก็อาจกลายเป็น ‘การเดิมพันที่ผิดพลาด’ ได้
โดยบริษัทเคยประเมินว่า หากอัตราภาษีเดิมมีผลบังคับใช้ อาจฉุดผลกำไรทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณให้ลดลงได้ถึง 2-3% อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Fast Retailing ยังคงสงวนท่าที โดยระบุเพียงว่าบริษัทกำลัง “รวบรวมข้อมูล” เกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว
ทางด้านยักษ์ใหญ่แห่งวงการเกมอย่าง Nintendo ซึ่งใช้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการส่งออกเครื่องเล่นเกม Switch 2 ไปยังสหรัฐฯ ก็กำลังอยู่ในกระบวนการ “ยืนยันข้อมูลและประเมินผลกระทบ” จากผลการเจรจาการค้าครั้งนี้เช่นกัน
การตัดสินใจของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงมาจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก ที่ผลักดันให้บริษัททั่วโลกต้องกระจายเครือข่ายการผลิตออกจากจีนซึ่งเคยเป็น ‘โรงงานของโลก’ โดยประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมถึงเวียดนามได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างมาก
ขณะที่ Apple ซึ่งผลิต iPad และ AirPods บางส่วนในเวียดนาม และมีแผนจะให้เวียดนามเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกือบทั้งหมดที่จะขายในสหรัฐฯ ตามที่ซีอีโอ Tim Cook เคยกล่าวไว้
นักวิเคราะห์จาก UBS Global Wealth Management กลับมองว่า การนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมายังสหรัฐฯ ยังคงมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ Apple ดังนั้นภาษีในอัตรา 20% จึง ‘แทบไม่มีผลกระทบ’ ต่อผลกำไรของบริษัท
ส่วน Samsung Electronics ซึ่งมีโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนหลักอยู่ในเวียดนาม ผู้บริหารได้กล่าวว่ากลุ่มบริษัทจะยังคงมองหาสถานการณ์ต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป แม้ว่าข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามจะสรุปแล้ว
แต่คาดว่า Samsung จะยังคงกระจายฐานการผลิตต่อไปเพื่อสร้าง ‘ห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง’ และพร้อมรับมือกับความผันผวนของสถานการณ์โลกอยู่เสมอ
อ้างอิง: