เกษตรกรยังพึ่งพารัฐ งบช่วยเหลือสูงแต่ไม่ยั่งยืน
นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (บอร์ด ธ.ก.ส.) กล่าวเปิดงาน BAAC Exclusive Dinner Talk 2025 : AGRI REFORM ปรับวิธีคิด พลิก ECOSYSTEM ให้เติบโต ว่า เกษตรกรไทยยังคงต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลและ ธ.ก.ส. ในการดูแลปัญหาหลายมิติ เช่น ข้าวตั้งแต่การปลูก การรักษาเสถียรภาพ และพัฒนาพันธุ์
รวมถึงภาคประมงที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก และอ้อยที่รัฐบาลเพิ่งอนุมัติงบ 6,000 ล้านบาท โดยทยอยจัดสรรปีละ 2,000 ล้านบาทผ่านกองทุนอ้อยและน้ำตาลให้ ธ.ก.ส. ดูแลการปลูกอ้อย
พร้อมระบุว่า มาตรการชดเชย เช่น โครงการไร่ละพัน แม้มีความจำเป็นในบางสถานการณ์ แต่ไม่สามารถสร้างความยั่งยืนได้ หากยังคงพึ่งพาการอุดหนุนหรือการรักษาเสถียรภาพราคา เกษตรกรก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องหาวิธีการใหม่ที่ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างศักยภาพให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ยังกล่าวถึงความท้าทายภายนอกที่ซับซ้อน เช่น กรณี IUU Fishing ที่ทำให้เรือประมงกว่า 30,000 ลำถูกห้ามออกทะเล ส่งผลกระทบต่อแรงงาน โรงงาน และห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด รวมถึง ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ลดภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ ทำให้สินค้าเกษตรราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาด เช่น สินค้าโคนมที่ต้นทุนไทยสู้ไม่ได้
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงกติกาการค้าโลก เช่น ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (C-BAM) มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ล้วนเป็นแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตจากพลังงานถ่านหินลิกไนต์ ซึ่งอีก 2 ปีจะไม่สามารถส่งออกไปสหภาพยุโรปได้ ทำให้ต้องเร่งปรับไปใช้พลังงานสะอาด เช่น ชีวมวลหรือโซลาร์เซลล์
อย่างไรก็ตาม ภาคกาแฟก็มีปัญหาในเรื่องต้นทุนสูง จากความต้องการในประเทศกว่า 60,000 ตัน แต่ผลิตได้เพียง 5,000 ตัน โดยราคากาแฟสหกรณ์ที่ชุมพรสูงถึงกิโลกรัมละ 197 บาท ขณะที่กาแฟต่างประเทศอยู่ที่เพียง 120 บาท ทำให้ผลผลิตส่วนเกินไม่สามารถระบายออกได้ ขณะที่ปัญหาข้าวก็ยังรุนแรง โดยผู้ส่งออกเสนอราคาซื้อเพียงกิโลกรัมละ 12 บาท แต่ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรต้องการควรอยู่ที่ตันละ 21,000 บาท ทำให้ชาวนาขายผลผลิตได้ต่ำกว่าต้นทุน และประสบความยากลำบากในการประกอบอาชีพ
ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ยังสะท้อนถึงปัญหาการเข้าถึงการช่วยเหลือ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพากระทรวงเกษตรฯ และ ธ.ก.ส. ขณะที่กองทุนและองค์กรอื่นไม่สามารถรองรับได้ทั่วถึง ทำให้เกษตรกรจำนวนมากยังคงวนเวียนอยู่กับการร้องเรียนและขอความช่วยเหลือ
โดยยกตัวอย่างกรณี มะเขือพวงที่สุพรรณบุรี ซึ่งเมื่อกระจายตลาดจากท้องถิ่นไปสู่ตลาดจังหวัด และเชื่อมต่อกับผู้ส่งออก สามารถเพิ่มมูลค่าจากกิโลกรัมละ 10 บาทในท้องถิ่น เป็น 20 บาทในจังหวัด และสูงถึง 60 บาทเมื่อส่งออกไปเกาหลีหรือญี่ปุ่น สะท้อนว่าหากสร้างผู้ประกอบการรายใหม่และพัฒนาระบบตลาด จะช่วยเพิ่มรายได้และความยั่งยืนให้เกษตรกรได้จริง
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า เกษตรกรไทยกำลังเผชิญทั้งปัญหาภายในและแรงกดดันจากต่างประเทศ จึงต้องปรับวิธีคิดและสร้างระบบใหม่ที่ทำให้เกษตรกรอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาการชดเชยระยะสั้น และยกระดับเกษตรกรรายย่อยให้ก้าวสู่ผู้ประกอบการธุรกิจเต็มตัว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เช็กไทม์ไลน์ โอนเงินไร่ละพัน 1-4 ก.ย.นี้ วงเงินรวม 20,580 ล้านบาท!
“TouristDigiPay” แปลงสกุลเงินคริปโตเป็นเงินบาท ต่อยอดท่องเที่ยวยุคใหม่
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เกษตรกรยังพึ่งพารัฐ งบช่วยเหลือสูงแต่ไม่ยั่งยืน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com