“ทองคำโลก” พุ่งทำสถิติใหม่เหนือ 3,500 ดอลลาร์ รับคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย
"ทองคำโลก" พุ่งทำสถิติใหม่เหนือ 3,500 ดอลลาร์ หลังนักลงทุนแห่เข้าซื้อท่ามกลางความคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และกังวลต่อเสถียรภาพธนาคารกลางสหรัฐ
วันที่ 2 กันยายน 2568 เวลา 09.45 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ หลังจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่ออนาคตของเฟด ช่วยต่ออายุการปรับตัวขึ้นหลายปีของโลหะมีค่า
ราคาทองคำปรับขึ้นมากถึง 0.9% แตะระดับ 3,508.73 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงกว่าจุดสูงสุดเดิมเมื่อเดือนเมษายน ก่อนที่จะปรับฐานในช่วงเปิดการซื้อขายเช้าวันอังคารที่เอเชีย ราคาทองคำปรับขึ้นแล้วกว่า 30% ตั้งแต่ต้นปีนี้ กลายเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทำผลงานดีที่สุด
แรงหนุนล่าสุดเกิดจากความคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณอย่างระมัดระวังว่าอาจเปิดทางลดดอกเบี้ย โดยรายงานการจ้างงานสหรัฐที่จะประกาศในวันศุกร์นี้อาจเพิ่มหลักฐานว่าตลาดแรงงานอ่อนแรงลง ซึ่งจะช่วยหนุนการลดดอกเบี้ย และเพิ่มความน่าสนใจให้ทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย
โจนี เทเวส นักกลยุทธ์ของ UBS Group AG กล่าวว่า “นักลงทุนกำลังเพิ่มการลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการลดดอกเบี้ยของเฟดใกล้เข้ามา ทำให้ราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง …ฐานคาดการณ์ของเราคือราคาทองจะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อไปในไตรมาสหน้า ภาวะดอกเบี้ยต่ำ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังสูง จะเพิ่มบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์กระจายความเสี่ยง”
ทั้งทองคำและโลหะเงิน ซึ่งมีราคาถูกกว่า ต่างพุ่งขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากความเสี่ยงที่ทวีขึ้นทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และการค้าโลก โดยหนึ่งในปัจจัยล่าสุดคือการโจมตีเฟดอย่างรุนแรงของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อ ความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ และอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด
ขณะเดียวกันตลาดกำลังรอคำตัดสินของศาลว่านายทรัมป์มีอำนาจตามกฎหมายในการปลดนางลิซา คุก ผู้ว่าการเฟดหรือไม่ นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐมีคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ว่า มาตรการภาษีโลกของทรัมป์ถูกบังคับใช้อย่างมิชอบตามกฎหมายฉุกเฉิน ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนแก่ผู้นำเข้าในสหรัฐ และชะลอผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศไว้
ราคาทองคำครั้งก่อนพุ่งแตะระดับสูงสุดในเดือนเมษายน หลังทรัมป์เปิดเผยแผนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากคู่ค้าเกือบทั้งหมด แต่ต่อมาราคาทองปรับฐานและเคลื่อนไหวในกรอบเป็นเวลาหลายเดือน เพราะความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง หลังทรัมป์ผ่อนท่าทีในบางมาตรการ
คริสโตเฟอร์ หว่อง นักกลยุทธ์ด้านสกุลเงินจาก Oversea-Chinese Banking Corp. ระบุว่า“ระดับเหนือ 3,500 ดอลลาร์ยังเป็นพื้นที่ใหม่ ตลาดจึงจับตาการเคลื่อนไหวของราคา หากราคาทองสามารถปิดตลาดรายวันเหนือระดับนี้ได้ ก็อาจสร้างแรงหนุนต่อไป ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายยังมีโอกาสกลับมาเพิ่มแรงขับให้ทองคำ”
เงิน ราคาพุ่งแรงกว่าทอง โดยปรับขึ้นกว่า 40% ตั้งแต่ต้นปี ทะลุ 40 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2554 และยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์ อุตสาหกรรมประเมินว่าตลาดเงินกำลังเผชิญภาวะขาดดุลอุปทานต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
ด้านกองทุน ETF เงิน นักลงทุนเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง 7 เดือนติด ทำให้สต็อกโลหะเงินในลอนดอนลดลง เกิดภาวะตึงตัว และอัตราค่าเช่าเงิน (lease rates) พุ่งอยู่ที่ราว 2% สูงกว่าปกติที่ใกล้ศูนย์
อ้างอิง : www.bloomberg.com