จับตาแนวโน้มราคาทองปลายปี ทะลุ 55,000 บาท รับอานิสงส์ เฟดลดดอกเบี้ย-ดอลลาร์ฯ อ่อนค่า
ตลอด 10 วันที่ผ่านมาราคาทองคำผันผวนค่อนข้างหนักราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นจากระดับประมาณ 3,300 เหรียญสหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ มาอยู่ใกล้เคียงที่ 3,500 เหรียญสหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้นเกือบ 200 เหรียญ ซึ่งถือเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ราคาทองคำไทยก็ปรับตัวสูงไปตามๆ กัน โดยเฉลี่ย (นับตั้งแต่ 22 ส.ค. 68) ราคาทองคำปรับตัวสูงถึง 1,900 บาท
อย่างราคาทองคำแท่งวันนี้ (2 ก.ย. 68) ขายออกอยู่ที่ 53,350บาท/บาททองคำ รับซื้ออยู่ที่ 53,250 บาท/บาททองคำ ขณะที่ทองคำรูปพรรณขายออกอยู่ที่ 54,150 บาท/บาททองคำ รับซื้ออยู่ที่ 52,180 บาท/บาททองคำ
แล้วภาพรวมทิศทางราคาทองคำตั้งแต่ต้นปี และแนวโน้มสิ้นปีเป็นอย่างไร? TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ’ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก จะมาสรุปให้ฟังผ่านบทความนี้
[ เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ดอลลาร์ฯ เสื่อมค่า ทองคำแนวโน้มราคาขึ้น ]
‘น.พ.กฤชรัตน์’ อธิบายถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำขึ้น-ลงให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นคือ สงครามการค้า และ สงครามจริง (เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือ อิสราเอล-ฮามาส) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ปัจจุบันได้สงบลงหรือตลาดได้รับรู้ไปแล้ว
ปัจจุบัน ปัจจัยหลักที่กำลังเกื้อหนุนและผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 6-7 วันทำการที่ผ่านมา คือ สัญญาณการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เริ่มส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ย หลังจากที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าวมาโดยตลอดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
คาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่อาจมีถึง 3-5 ครั้ง ซึ่งรวมถึงปีหน้าด้วย และนี่คือสิ่งที่ทำให้ภาพรวมของราคาทองคำได้รับประโยชน์ในแนวโน้มขาขึ้น เนื่องจากทองคำจะได้รับประโยชน์สูงเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง
ขณะที่อีกแรงหนุนก็มาจากธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำที่สำคัญในระยะยาว อย่างในปีที่ผ่านมาธนาคารกลางหลายประเทศมีการซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตัน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ธนาคารกลางถือครองมากเป็นอันดับ 2 ในหลายประเทศทั่วโลก
เนื่องจากความเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาพรวมของสงครามการค้า สงครามจริง และภาวะเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมาก สิ่งนี้ส่งผลให้มีการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) มากขึ้น
ด้านนักลงทุนสถาบันและกองทุนต่างๆ ก็หันมาถือครองทองคำมากขึ้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนในระยะยาว เพราะธนาคารกลางมองการลงทุนในระยะ 3-5 ปี ทั้งหมดนี้ยังทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มขาขึ้นอยู่
[ ปิดปีนี้ทองคำไทยอาจแตะ 55,000 บาท/บาททองคำ ขึ้นอยู่กับเงินบาทแข็ง ]
สำหรับทิศทางราคาทองคำ 4 เดือนหลังจากนี้ (คาดการณ์ถึงสิ้นปี) ‘น.พ.กฤชรัตน์’ วิเคราะห์ว่า ด้วยความสัมพันธ์ของราคาในประเทศและตลาดโลก ราคาทองคำในประเทศไทยจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับราคาทองคำในตลาดโลก เนื่องจากเนื้อทองคำและความบริสุทธิ์อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ถึงแม้ว่าเปอร์เซ็นต์ทองคำที่ยึดถือในไทย (96.5%) จะแตกต่างจากตลาดโลก (99.99%) ก็ตาม
จะทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวใกล้ๆ กัน คาดการณ์ว่าทองคำตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 3,800 เหรียญสหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยคาดว่าจะไปใกล้เคียงกับราคาสูงสุดเดิมที่ 55,000 บาทต่อบาททองคำ หรืออาจจะทะลุราคานี้ขึ้นไปได้อีก ขึ้นอยู่กับสภาวะของค่าเงินบาทที่จะแข็งค่าลงมา