จะสู้ หรือจะผ่าน อนาคตที่รอคำตอบ
สวัสดีวันหยุด กับสุดสัปดาห์ที่ 5 ของเดือนสิงหาคม ในสัปดาห์นี้เราจะมาคุยกันเรื่องรถยนต์จากจีนอีกยี่ห้อหนึ่งที่ “เงียบ” เอามากๆในบ้านเรา ทั้งๆที่เป็นแบรนด์ที่มีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ถือหุ้นอยู่ แต่กลับยังไม่สามารถสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการรถยนต์ในบ้านเราได้ นั่นก็คือ แบรนด์ “ลีปมอเตอร์” (Leapmotor)
ลีปมอเตอร์ นั้นเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ทางกลุ่มทุนใหญ่ด้านยานยนต์นานาชาติที่มีขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลกอย่าง สเตลแลนทิส กรุ๊ป (Stellantis Group) ถือหุ้นอยู่ถึง 20% โดยปัจจุบันผู้ที่นำเข้ามาในประเทศก็คือ กลุ่มบริษัท PNA หรือพระนครยนตรการ โดยรถรุ่นแรกที่นำเข้ามาก็คือ เอสยูวีพลังไฟฟ้ารุ่น C10 ที่เปิดราคาที่ 1,098,000 บาทในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบรับนั้นก็ “เงียบกริบ” ถึงทุกวันนี้ ขายไปได้เพียง 54 คันเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะอนุมานได้ว่า ราคาที่เปิด กับรูปร่างหน้าตารวมถึงสมรรถนะอาจจะยังไม่สมดุลกัน
แต่ก็ดูเหมือนว่าทาง PNA จะขอแก้มือ ด้วยการขอเปิดตัวรถจาก “ลีปมอเตอร์” อีกรุ่น แต่จะมาพร้อมกับ เทคโนโลยีเอไอ แต่มีราคาที่ “คุ้มค่า” แข่งขันในตลาดบ้านเราได้อย่างออกรส นั่นก็คือ ลีปมอเตอร์ บี10 (Leapmotor B10) รถไฟฟ้าในพิกัด B-SUV ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดกลางๆ แต่สามารถทำระยะวิ่งได้ค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานทั่วไป โดยคู่แข่งโดยตรงของมันก็คือ เจคู่ 5 อีวี (Jaecoo 5 EV) รถไฟฟ้าที่ทำยอดขายได้หวือหวาด้วยกลยุทธการทำราคาเปิดตัวแบบ “กระตุกจิต กระชากใจ”
รถรุ่น B10 นี้ ยังคงบุคลิกดีไซน์ที่เรียบๆ มีความสะอาดตา โค้งมน ในสไตล์ “รถยุโรป” ของ ลีปมอเตอร์ แต่มีเส้นสายที่เฉียบคมกว่ารุ่น C10 โดยเฉพาะไฟหน้า และไฟท้าย ที่เพรียวยาวกว่าของรุ่นพี่ C10 ค่อนข้างมาก โดยภาพรวมภายนอกนั้นให้อารมณ์คล้ายคลึงกับเส้นสายของเอสยูวีจากเยอรมนีอย่าง “พอร์เช่ คาเยนน์” (Porsche Cayenne) อยู่ไม่น้อย
ส่วนการออกแบบภายในห้องโดยสารก็เป็นไปตามสมัยนิยม ซึ่งก็ทำได้กลมกล่อม เรียบง่ายสวยงาม แถมในรุ่นสูงของมัน ยังจะมาพร้อมกับระบบช่วยการขับขี่อัจฉริยะที่ใช้ เซนเซอร์เลเซอร์ LiDAR ทำงานร่วมกับเรดาร์คลื่นมิลลิเมตร ถึง 3 ตัว (หน้า 1 ข้าง 2) รวมถึงเซนเซอร์อัลตราโซนิคอีก 12 ตัวทั้งหมดควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ใช้ชิป Qualcomm 8650+LiDAR รองรับการขับขี่อัตโนมัติบนไฮเวย์ และสามารถจอดอัตโนมัติได้
หากมองข้ามเรื่องไฮเทคไป หัวใจของรถรุ่น B10 ก็คือแบตเตอรี่ โดยในปัจจุบันรุ่นที่จำหน่ายในประเทศจีนนั้นมีแบตเตอรี่ด้วยกัน 2 ขนาดคือ 56.2 และ 67.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วนขุมกำลังนั้นมีให้เลือก 2 แบบคือ
- รุ่นมาตรฐาน (Single Motor) ใช้แบตเตอรี่ 56.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง มากับมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 179 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง รองรับระยะทางวิ่ง 510 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รุ่นแรงพิเศษ (Single Motor Plus) ใช้แบตเตอรี่ 56.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่มอเตอร์ไฟฟ้าอัพเกรดเป็น ขนาด 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง รองรับระยะทางวิ่ง 510 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รุ่นวิ่งไกลพิเศษ (Single Motor Long Range) รุ่นนี้จะใช้แบตเตอรี่ 67.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง รองรับระยะทางวิ่ง 600 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยความสามารถในการชาร์จไฟนั้นก็คือ ไฟบ้าน AC นั้นได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วนกระแสตรง DC นั้นทำได้สูง 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถือว่าดีทีเดียว และเหนือกว่าของ เจคู่ 5 อีวี อยู่เล็กน้อย
ในประเทศจีนนั้นรุ่นเริ่มต้นเปิดราคาอยู่ที่ราว 451,000 บาทเท่านั้น ส่วนรุ่นท็อปแบตใหญ่ ก็จะทำราคาอยู่ราว 586,000 บาท ซึ่งการคาดการณ์นั้นเชื่อว่ารถรุ่นที่จะนำมาจำหน่ายในบ้านเราจะเป็นรุ่นท็อป “วิ่งไกลพิเศษ” ซึ่งถ้าดูประมาณการณ์ราคาแล้ว ถ้าจะขายได้ก็ต้องไม่ทำราคาอย่าให้เกิน 7 แสนบาท เรียกว่าต้องใช้ความไฮเทค บวกกับราคาที่สวยเข้าสู้ งานนี้น่าจะเกิดได้ขอรับ!