Porsche Macan EV มาแรง ครึ่งปี 2568 สัดส่วนขายทั่วโลก 60%
ปอร์เช่ เอจี เยอรมนี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่หันมาจับตลาดรถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) อย่างจริงจัง แม้จะยังมีรถไม่มากรุ่นนัก แต่การรุกตลาดแต่ละครั้งก็ทำได้ดี และแสดงให้ลูกค้ายอมรับว่าเป็นการพัฒนา ดยไม่เร่งรีบกับการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน
ปอร์เช่ เริ่มต้น เข้าสู่ตลาดอีวี ด้วยไทคานน์ (Tycan) ที่ใช้เวลาพัฒนา 5 ปี ก่อนที่จะตามมาด้วย มาคันน์ (Macan)
และสำหรับปี 2568 ปอร์เช่ระบุว่าทิศทางตลาดโดยรวมน่าพอใจ โดยในช่วงครึ่งปีแรก สามารถส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าทั่วโลกรวม 146,391 คัน และในจำนวนนี้เป็นกลุ่มรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน (xEV) 36.1% เพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ประกอบด้วย
- อีวี 23.5%
- ปลั๊ก-อิน ไฮบริด 12.6%
โดยปอร์เช่ มาคันน์ เป็นรุ่นที่เติบโตสูงสุดในบรรดารถยนต์ 6 รุ่นของปอร์เช่ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% ขณะที่ พานาเมร่า (Panamera) เติบโต 13%
ภูมิภาคอเมริกาเหนือยังเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของปอร์เช่ โดยมียอดส่งมอบ 43,577 คัน เพิ่มขึ้น 10% ถือเป็นสถิติสูงสุดของภูมิภาคในช่วงครึ่งปี
กลุ่มตลาดนอกยุโรปและตลาดเกิดใหม่ (Overseas and Emerging Markets) ทำลายสถิติยอดส่งมอบสูงสุดเช่นกัน ด้วยจำนวน 30,158 คัน
"ภูมิภาคอเมริกาเหนือยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของปอร์เช่ การเติบโตเกิดจากการที่มีรถยนต์พร้อมจำหน่ายมากขึ้น และการคงราคาขายในช่วงครึ่งปีแรก ท่ามกลางสถานการณ์ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ตลาดนอกยุโรปและตลาดเกิดใหม่ ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ของภูมิภาค"
ตลาดยุโรป ไม่รวมเยอรมนี มียอดส่งมอบ 35,381 คัน ลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนตลาดเยอรมนี ยอดส่งมอบ 15,973 คัน ลดลง 23% สาเหตุหลักทั้ง 2 ตลาด มาจากฐานยอดขายที่สูงผิดปกติในปีก่อน ซึ่งมีคำสั่งซื้อที่ตกค้างจากปี 2023
ประเทศจีน ปอร์เช่ส่งมอบ 21,302 คัน ลดลง 28% สาเหตุหลักมาจากสภาพตลาดที่ยากลำบาก โดยเฉพาะในกลุ่มรถพรีเมียม และการแข่งขันที่รุนแรง โดยปอร์เช่ยังคงเน้นกลยุทธ์การขายแบบเน้นคุณค่า เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน
โดยรวมทั่วโลก ปอร์เช่มียอดส่งมอบลดลง 6%
สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มาคันน์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยปอร์เช่ส่งมอบให้ลูกค้าทั่วโลกทั้งสิ้น 45,137 คัน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเกือบ 60% หรือ 25,884 คัน เป็นเวอร์ชั่น อีวี ขณะที่รุ่นที่ยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE ยังคงจำหน่ายในตลาดนอกสหภาพยุโรป โดยมียอดส่งมอบ 19,253 คัน ขณะที่
ด้านพานาเมร่ามียอดส่งมอบ 14,975 คัน เติบโต 13%
ด้านไอคอนของแบรนด์อย่างปอร์เช่ 911 มียอดส่งมอบ 25,608 คัน ลดลง 9% สาเหตุหลักมาจากยอดขายของรุ่นก่อนหน้าที่สูงผิดปกติในช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา และการทยอยเปิดตัวรุ่นย่อยของโมเดลใหม่
718 บ็อกซเตอร์ (718 Boxster) และ 718 เคย์แมน (718 Cayman) มียอดส่งมอบ10,496 คัน ลดลง 12% เป็นผลมาจากข้อจำกัดเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในสหภาพยุโรป ทั้งนี้ปอร์เช่เตรียมยุติการผลิต 718 รุ่นปัจจุบันในไตรมาสที่ 4 ปีนี้
ไทคานน์ (Taycan) มียอดส่งมอบ 8,302 คัน ลดลง 6%
คาเยนน์ (Cayenne) ส่งมอบ 41,873 คัน ลดลง 23% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานยอดขายที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน
แมทเธียส เบ็คเคอร์ (Matthias Becker) กรรมการบริหารฝ่ายขายและการตลาดกล่าวว่าปอร์เช่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์ตลาดยังคงท้าทายต่อเนื่อง ดังนั้นความร่วมมือกับทีมขายในแต่ละภูมิภาคจึงยิ่งมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ตามกลยุทธ์ ‘คุณค่ามาก่อนปริมาณ’ (Value over Volume)
"เรามั่นใจว่าไลน์อัปผลิตภัณฑ์ใหม่เกือบทั้งหมดของเราในตอนนี้ จะตอบโจทย์ลูกค้าทั่วโลกได้อย่างลงตัว” แมทเธียส กล่าว