เบื้องหลังทีมไทยแลนด์ เจรจาภาษีทรัมป์ 19% งัดไม้เด็ดมัดใจสหรัฐฯ
เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปได้เปลาะหนึ่ง สำหรับ “ทีมไทยแลนด์” กับภารกิจเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) หรือ "ภาษีทรัมป์" กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จนท้ายที่สุด สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับอัตราภาษีลดลงมาจากเดิม 36% เหลือ 19% ซึ่งมีผลเป็นทางการแล้วตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมาตามเวลาของสหรัฐฯ แต่การเจรจาภาษีส่วนอื่นยังไม่จบ โดยเฉพาะการเจรจาเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ นำเข้ามาในประเทศไทย
ต้องยอมรับว่า การปรับลดภาษีทรัมป์ รอบล่าสุด ประเทศไทย ถูกคิดภาษีใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ที่โดนภาษี 19% ถ้วนทั่วทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกัมพูชา ขณะที่เวียดนาม ถูกคิดภาษี 20%
เบื้องลึกเบื้องหลังของการเจรจาภาษีทรัมป์ กับตัวเลขที่ไทยถูกประกาศลดการจัดเก็บภาษีเหลือ 19% ต้องไปฟังเรื่องราวจากปากของ “พงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง หนึ่งใน “ทีมไทยแลนด์” เล่าให้ผู้สื่อข่าวของฐานเศรษฐกิจฟังว่า การเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ง่าย และต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสมด้วย
“จริง ๆ ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องแล้ว และพิจารณาช่วงจังหวะที่เหมาะสมในการเจรจา และมีข้อมูลที่ชัดเจนในการเจรจา และก็ถือเป็นข่าวดีที่ไทยได้ปรับลดภาษีเหลือ 19% ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถแข่งขันได้” นายพงศ์ศรัณย์ ระบุ
กลไกการเจรจาแยกหลายระดับ
ก่อนหน้านี้ไทยได้เตรียมความพร้อมโดยมีการตั้งกลไกและกรอบแนวทางการหารือกับสหรัฐฯ เอาไว้หลายระดับด้วยกัน โดยในระดับแรก เป็นระดับสูง ฝ่ายไทยคือ นายกรัฐมนตรี หรือผู้แทนที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ คือ ประธานาธิบดี เพื่อหารือกันในกรอบใหญ่
ต่อมาคือระดับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ซึ่งกลไกการหารือในระดับนี้เป็นการหารือในรายละเอียดหลักด้านการค้ากับสหรัฐฯ ใน 5 เสาหลักสำคัญ
ต่อมาเป็นกลไกในระดับเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ระดับนี้จะมีการติดตามความเคลื่อนไหว สถานการณ์นโยบายการค้า และเป็นหน่วยล่วงหน้าในการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบที่กำหนดโดยรัฐบาล
ส่วนกลไกสุดท้ายเป็นในลักษณะของทีมทำงานของรัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจาการค้าและภาษีกับรัฐบาลสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ยื่น 4 ข้อเรียกร้องจากไทย
นายพงศ์ศรัณย์ เล่าให้ฟังว่า ประเด็นหลักที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการมีด้วยกัน 4 เรื่อง เริ่มจากการเปิดตลาดสินค้ากับประเทศไทย ต่อมาคือการขอให้ประเทศไทยดูแลแก้ปัญหาปัญหาสินค้าถูกสวมสิทธิและกระบวนการทางศุลกากร ถัดมาอีกเรื่องนั่นคือ สินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยนำเข้า และสุดท้าย คือ การส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น
“หลักการของสหรัฐฯ ต้องการ 4 เรื่องหลักนี้ และขอให้ไทยไปพิจารณา ซึ่งเราก็ทำตามนั้น แต่ก็ยังดูว่าอะไรที่เป็นประโยชน์และไม่ได้กระทบกับในประเทศคู่กันไป” นายพงศ์ศรัณย์ ระบุ
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา หัวหน้าทีมไทยแลนด์ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ได้หารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดทำรายละเอียดเบื้องต้นของ 5 เสาหลักที่ใช้เป็นข้อมูลไปเจรจากับสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายการลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 35,222 ล้านดอลลาร์ ลงให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี
สำหรับ 5 เสาหลักด้านการเจรจาการค้าเดิม ประกอบด้วย
เสาแรก เรื่องความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอาหารแปรรูป มีเป้าหมายการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ เข้ามาแปรรูปเพื่อส่งออก
เสาที่สอง เรื่องการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น พลังงาน น้ำมัน LNG อีเทน เครื่องบินและส่วนประกอบ อาวุธยุทโธปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
เสาที่สาม เรื่องการเปิดตลาด ลดภาษี ลดอุปสรรคทางการค้า ครอบคลุมด้านสินค้าเกษตร ลดภาษีนำเข้า (MFN Applird Rate) สินค้ากว่า 11,414 รายการ
เสาที่สี่ เรื่องการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
เสาที่ห้า เรื่องการส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยส่งเสริมให้ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจของไทย เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านพลังงาน
เปิดเคล็ดลับการเจรจาภาษีทรัมป์
สำหรับเคล็ดลับการเจรจาภาษีทรัมป์ จนสามารถปรับลดลงมาเหลือ 19% ได้ นายพงศ์ศรัณย์ เผยว่า ในช่วงแรกประมาณเดือนเมษายน ประเทศไทยได้รับการติดต่อจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเจรจาการค้าจริง แต่รัฐบาล ตัดสินใจยังไม่เดินทางไปคุย เพราะต้องการพิจารณาข้อมูลให้มีความพร้อมที่สุด และไทยก็ได้รับข้อเรียกร้องจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม เกี่ยวกับการแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาการสวมสิทธิ ซึ่งก็เร่งดำเนินการให้
“ความสำเร็จของการเจรจา นั่นคือ ในช่วงการเจรจาเรามีการแสดงความจริงใจในสิ่งที่เราจะทำ เช่น เรามีการคุยกับเกษตรกรตัวจริงของสหรัฐฯ ว่าจะซื้อของของเขา และให้เอกชนบินไปเอ็มโอยูแล้ว ทำให้ตอนคุยกับนายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ก็ชื่นชมไทยในเรื่องนี้” รองเลขาธิการนายกฯ ระบุ
อีกเรื่องที่สหรัฐฯ เสนอให้ไทยเร่งดำเนินการนั่นคือ ประเด็นสินค้าไทยถูกสวมสิทธิ โดยเฉพาะถิ่นกำเนิดสินค้า และขอให้เร่งป้องกัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับกรมศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา (CBP) และเร่งแก้ปัญหาทันที เช่น ปรับกระบวนการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดผลิตในประเทศไทย (C/O) จากเดิมที่ให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย สามารถออกได้ มารวมไว้ที่กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
รวมไปถึงการตรวจสอบผู้ประกอบการว่าประกอบธุรกิจจริงหรือไม่ มีตัวตนไหม โดยตรวจสอบโรงงาน ตรวจสอบการใช้น้ำประปา และการใช้ไฟฟ้า ตรวจการจ้างงาน ซึ่งกระบวนการดังกล่าว ถือเป็นการตรวจสอบเชิงลึกให้ได้ข้อมูลว่า ผู้ประกอบธุรกิจจะเป็นตัวจริง ไม่ได้มีการสวมสิทธิ หรือเป็นนอมินี รวมทั้งการไปลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านการลงทุนพลังงานในอลาสกา ด้วย
“สิ่งที่ทีมไทยแลนด์ได้ทำ คือ เราแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่สหรัฐฯ ขอมา สามารถทำได้จริง และเราก็รักษาสัญญาไว้ โดยการแสดงความจริงใจในสิ่งที่เราทำ” รองเลขาธิการนายกฯ กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำเร็จในการเจรจาภาษี จนลดลงเหลือ 19% ในที่สุด