พื้นที่การคลังแคบ เหลือ 1 ล้านล้าน ‘พิชัย’ วางเป้าลดการขาดดุล
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาประจำปีของ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ภายใต้หัวข้อ Fiscal Transformation ว่า หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ประมาณ 65% ของจีดีพี ซึ่งใกล้เพดาน 70% ที่ตั้งไว้ ทำให้เหลือช่องว่างในการก่อหนี้เพื่อลงทุนได้อีกเพียง 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 5% ของจีดีพี เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังประสบปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาขาดดุลกว่า 4% ของจีดีพี ประมาณ 8.5 แสนล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่จะลดการขาดดุลให้เหลือประมาณ 3% ในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า การจะบรรลุเป้าหมายนี้ไม่ใช่การลดหนี้ แต่คือการเพิ่มรายได้ภาครัฐให้ครอบคลุมส่วนที่ขาดดุล
“การลดการขาดดุลงบประมาณ อาจไม่จำเป็นต้องลดรายจ่ายของรัฐบาล แต่อาจมาจากการเพิ่มรายได้ของรัฐบาล ด้วยการนำทรัพยสินของภาครัฐ เช่น ทางด่วน หรือสายส่งไฟฟ้า นำสินทรัพย์มาแปลงเป็นหลักทรัพย์ ซึ่งทรัพย์สินในส่วนนี้มีมูลค่ารวมกันราว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังของรัฐบาลได้”
นอกจากนี้ การเพิ่มรายได้ของรัฐบาลยังมาจาก การเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือช่วงก่อนปี 2540 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 6-10% แต่หลังจากนั้นอัตราการขยายตัวลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 0.4% ส่วนปี 2567 ขยายตัว 2.5% และในปีนี้ อัตราการขยายตัวอยู่ในระดับ2% โดยคลังคาดว่าจะขยายตัว 2.3% ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะขยายตัว 2.3% และสภาพัฒน์ คาดว่าจะขยายตัว 2%
ทั้งนี้ เราจำเป็นต้องเร่งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ แนวทางหนึ่ง คือ การเร่งการลงทุน ซึ่งก่อนต้มยำกุ้ง การลงทุนของไทยเคยสูงถึง 51%ของจีดีพี แต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งอัตราการลงทุนของไทยอยู่ในระดับ 20% โดยในปี 2567 อยู่ที่ 24% หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 4 ล้านล้านบาท
“การลงทุนของไทยในเบื้องต้น ควรเพิ่มขึ้นเป็น 30%ของจีดีพี หรือเป็นเม็ดเงิน 6 ล้านล้านบาท โดย 1 ล้านล้านบาทมาจาก FDI และอีก 5 ล้านล้านบาทมาจากการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชนไทย”
สาเหตุที่ FDI ของไทย แผ่วลงเพราะโลกได้ปรับเปลี่ยน production platform ในช่วงอดีตที่ผ่านมา แต่ไทยยังผลิตสินค้าแบบเดิม เห็นได้จากสินค้าที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์ยังเป็นสินค้าแบบเดิมๆ
นายพิชัย กล่าวว่า ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่เป็นปัญหาที่ต่างชาติกังวล คือ เรื่องของกรรมสิทธิในที่ดิน หรือระยะเวลาเช่าที่ดินที่ยาวนานพอที่จะ cover การลงทุน ซึ่งรัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดิน แม้ไม่ได้ในกรรมสิทธิ แต่สามารถให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี โดยใช้วิธีให้เอกชนเจ้าของที่ดิน โอนที่ดินเป็นของกรมธนารักษ์ แล้วสามารถนำไปให้ต่างชาติเช่านาวนาน 99 ปีได้ เมื่อพ้นระยะเวลาเช่าที่ดินนั้นจะตกเป็นของรัฐ
นอกจากนี้ เรื่องความเพียงพอของไฟฟ้า และน้ำก็เป็นประเด็นสำคัญของนักลงทุนต่างชาติด้วย ซึ่งปัจจุบันไทยมีกำลังไฟฟ้าเหลือเกินความต้องการราว 3 หมื่นเม็กกะวัตต์ แต่คาดว่า หากมีต่างชาติเข้ามาลงทุนมาก กำลังไฟส่วนเกินนี้จะหมดลงภายใยเวลา 3 ปีเท่านั้น ซึ่งเราต้องวางแผนการผลิตกำลังไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต รวมถึงการเพิ่ม green energy ด้วย
"หากเราสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีเป็น 30-35% โอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัว 4-5% ก็เป็นไปได้"