ไขข้อสงสัยชื่อของ “พายุ” มีที่มาจากไหน?
หลายคนอาจสงสัยว่าพายุที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกนั้น เหตุใดจึงมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาได้เปิดเผยหลักเกณฑ์การตั้งชื่อพายุ ที่ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) พายุที่จะได้รับการตั้งชื่อ จะต้องมีกำลังแรงตั้งแต่ระดับ “โซนร้อน” ขึ้นไป โดยประเทศสมาชิกทั้งหมด 14 ประเทศและเขตการปกครอง ได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ลาว มาเก๊า มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และประเทศไทย จะส่งรายชื่อพายุประเทศละ 10 ชื่อ รวมทั้งหมด 140 ชื่อ
รายชื่อทั้งหมดจะถูกจัดเรียงเป็น 5 ตาราง ตารางละ 28 ชื่อ และจะถูกนำมาใช้เรียงลำดับต่อเนื่องกันไปตามการเกิดพายุ แต่ละครั้งที่ครบทั้ง 5 ตารางแล้ว ก็จะวนกลับมาใช้ชื่อแรกในตารางที่ 1 ใหม่อีกครั้ง หากพายุลูกใดสร้างความเสียหายรุนแรงจนเป็นที่จดจำ ชื่อนั้นจะถูกถอดออกจากบัญชีรายชื่อถาวร และให้ประเทศเจ้าของชื่อเสนอชื่อใหม่เข้ามาแทน
สำหรับประเทศไทย ได้เสนอชื่อพายุไว้ทั้งหมด 10 ชื่อ ได้แก่ พระพิรุณ, กระท้อน, วิภา, บัวลอย, เมขลา, อัสนี, นิดา, ชบา, กุหลาบ และขนุน ซึ่งล้วนเป็นชื่อที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมไทย
หลักการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนจดจำพายุได้ง่ายขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยจากพายุโซนร้อนและไต้ฝุ่นที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- จีน-เวียดนาม เตรียมรับมือไต้ฝุ่น "คาจิกิ"
- อัปเดตพายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ”
- พายุโซนร้อน “คาจิกิ” จ่อทวีกำลังเป็นไต้ฝุ่น ดร.เสรีชี้ แรงน้อยกว่า วิภา แต่ “น่าน” เสี่ยงน้ำท่วมสูง
- 12 จังหวัดภาคเหนือ เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก ผลกระทบจากพายุ "คาจิกิ"
- เปิดเส้นทางพายุโซนร้อน “คาจิกิ” มุ่งหน้าเวียดนามและสปป.ลาว คาดขึ้นฝั่ง 25-26 ส.ค.นี้