แก้กฎหมายบังคับทุกคนยื่นภาษี สังคายนากวาดเงินวัดเข้าระบบ
คลังจัดระเบียบภาษี เดินหน้าสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ “Data Lake” เชื่อมข้อมูลประชาชนกว่า 60 ล้านคน และธุรกิจ 600,000 บริษัท สู่นโยบายสวัสดิการ Negative Income Tax ในปี 2570 เพื่อยกระดับนโยบายการคลัง และสวัสดิการรัฐอย่างตรงเป้า-โปร่งใส เผยต้องแก้กฎหมายบังคับทุกคนยื่นแบบภาษี ผู้ที่มีรายได้ต่ำเกณฑ์มีสิทธิได้รับสวัสดิการ พร้อมยกเลิก “บัตรสวัสดิการรัฐ” ดร.พิพัฒน์-KKP ชี้ต้องแก้โจทย์ “สังคมเงินสด” ซ่อนรายได้ สรรพากรสังคายนาเงินบริจาควัด ลดหย่อนภาษีต้อง e-Donation เท่านั้น อธิบดีลั่นใบอนุโมทนาบัตรกระดาษใช้ลดหย่อนภาษีไม่ได้-ได้แค่บุญ ต้อนวัดกว่า 2.4 หมื่นแห่งเข้าระบบ
NIT เชื่อมข้อมูล 6 แสนบริษัท
จากกรณีสัปดาห์ที่ผ่านมา นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการเชื่อมโยงการพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ที่เชื่อมฐานข้อมูลประชาชนทั้งหมดกว่า 60.8 ล้านคน และภาคธุรกิจ 600,000 กิจการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบเครดิตสกอริ่งของประชาชนที่เรียกว่า “อารีย์สกอร์” (Ari Score) เพื่อใช้กำหนดนโยบายการคลังและสวัสดิการรัฐอย่างตรงเป้าหมาย และเตรียมพร้อมการนำไปสู่การดำเนินนโยบายสวัสดิการในลักษณะ Negative Income Tax (NIT)
โมเดลของ NIT คือ ประชาชนทุกคนจะต้องยื่นแบบภาษี ไม่ว่าจะมีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีหรือไม่ โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์จะมีสิทธิรับสวัสดิการรัฐ ส่วนผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์จะเสียภาษีตามปกติ โดยกระทรวงคลังวางเป้าหมายให้สามารถเริ่มใช้ได้ปี 2570
“ทุกคนต้องเข้าสู่ระบบภาษีเพื่อยืนยันรายได้ หากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็จะได้รับสวัสดิการ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลรู้จักคนไทยมากขึ้น การใช้ฐานข้อมูล Data Lake จะทำให้การจัดสรรงบประมาณและสวัสดิการตรงจุด โปร่งใส และสะท้อนรายได้จริงของประชาชน และช่วยให้สามารถกำหนดนโยบายการคลังเชิงรายภูมิภาคได้ เพราะคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของประชาชนในแต่ละภาคมีความแตกต่างกัน เช่น ภาคเหนือกับภาคใต้มีคุณภาพชีวิตและความต้องการไม่เหมือนกัน หรือภาคอีสานกับภาคกลางก็แตกต่างกัน” ปลัดคลังกล่าว
แก้ กม.บังคับทุกคนยื่นภาษีปี’70
แหล่งข่าวกล่าวว่า กรณีที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุถึงแนวคิดการจัดทำนโยบายสวัสดิการในลักษณะ Negative Income Tax เรื่องนี้กระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพากรร่วมกันศึกษา โดยหลักการคือประชาชนทุกคนจะต้องยื่นแบบภาษี
ขณะที่ปัจจุบันแม้ว่ากฎหมายสรรพากรจะกำหนดให้คนไทยทุกคนมีหน้าที่เสียภาษี แต่คนที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ (รายได้ไม่ถึง 60,000 บาทต่อปี) ก็จะไม่ยื่น แต่หากใช้ NIT ก็ต้องเขียนกฎหมายบังคับให้คนเหล่านี้ยื่นภาษีด้วย
“NIT ถ้าจะใช้ปี 2570 ดังนั้น ปีหน้าก็ต้องเสนอแก้กฎหมายแล้ว แต่เรื่องนี้สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำให้คนไทยทุกคนรับรู้ว่า มีหน้าที่ที่จะต้องยื่นภาษี ดังนั้นคนทั่วไปที่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ไม่เคยยื่นแบบ เขาก็จะไม่รู้ว่าจะต้องยื่น ก็ต้องสร้างความรับรู้กัน แล้วก็ต้องเขียนกฎหมายบังคับให้คนไทยทุกคน 65-66 ล้านคน ต้องยื่น และใครไม่ยื่นก็ต้องมีความผิด”
ต้องยกเลิก “บัตรสวัสดิการ”
แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่กว่า 30 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีผู้ยื่นแบบอยู่ประมาณ 11 ล้านคน ขณะที่ผู้เสียภาษีมีเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น เพราะผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 28,000 บาทต่อเดือน ก็ไม่ต้องเสียภาษี ขณะที่ผู้ที่รับสวัสดิการมีอยู่ 13.5 ล้านคน
โดยที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เคยศึกษาไว้ว่า ถ้าการให้สวัสดิการ คือ Welfare แบบถ้วนหน้า อาจจะทำให้คนไม่อยากทำงาน แล้วรอรับสวัสดิการอย่างเดียว จึงอาจจะใช้ระบบ NIT แบบ Workfare แทน ทั้งนี้ เมื่อมีการนำระบบ NIT มาใช้ มาตรการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการรัฐก็จะต้องยกเลิกไป
“กรณีคนทำงานแต่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ก็อาจจะได้สวัสดิการ ที่จะจัดเป็นแพ็กเกจที่ต่างกันไป โดยแบ่งตามเกณฑ์ระดับรายได้มาเติมให้คนที่ทำงาน มากกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย ก็จะสร้างแรงจูงใจให้คนไปทำงาน”
สศช.ปรับเส้นความยากจนใหม่
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการคลัง เตรียมผลักดัน Negative Income Tax โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ปี 2570 ขณะนี้ สศช.อยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลเส้นแบ่งความยากจนให้เป็นปัจจุบัน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569 เพื่อให้กระทรวงการคลังนำไปใช้ประกอบการดำเนินนโยบาย
“ประเด็นนี้มีการหารือกันมาแล้วระยะหนึ่ง การปรับปรุงข้อมูลเส้นแบ่งความยากจนให้เป็นปัจจุบัน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า”
แก้ปัญหา “คนอยากจน”
ขณะที่ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) สะท้อนความคิดเห็นว่า Negative Income Tax เป็นไอเดียที่น่าสนใจ แต่ต้องแก้ปัญหา “คนอยากจน”
พร้อมระบุว่า หัวใจของแนวคิด Negative Income Tax (NIT) ระบบภาษีที่รวมการเก็บภาษีและการจ่ายสวัสดิการไว้ในกลไกเดียวกัน โดยวัดจากรายได้จริงของแต่ละคนเป็นหลัก ถ้ารายได้สูงก็จ่ายภาษีมากขึ้น ถ้ารายได้ต่ำก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่จะได้รับเงินอุดหนุนกลับไปแทน
แนวคิดนี้ต่างจากการแจกเงินแบบเดิมที่ใช้ป้ายกำกับอาชีพหรือสถานะ เช่น “เกษตรกร” หรือ “ผู้สูงอายุ” เป็นตัวตัดสิน เพราะไม่อาจรู้ได้จากป้ายเหล่านี้ว่าใครลำบากจริง
สังคมเงินสด “ซ่อนรายได้”
อย่างไรก็ดี ดร.พิพัฒน์ระบุว่า Negative Income Tax ยังมีความท้าทายสำหรับประเทศไทย เพราะมีคนอยู่นอกระบบจำนวนมาก ขณะที่การตรวจสอบรายได้ก็ไม่ง่าย อาจทำให้เกิดปัญหา “คนอยากจน” และอาจทำให้ภาระของรัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
เพราะไทยยังถือว่าเป็นประเทศที่ใช้ “เงินสด” สูง ทำให้สามารถปกปิดรายได้ หรือ “ซ่อนรายได้” ได้ง่าย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิด “คนอยากจน” เพื่อรับเงินสวัสดิการ ประเด็นสำคัญก็คือต้องมีระบบข้อมูลรายได้ที่แม่นยำ จึงจะทำให้โมเดล NIT ทำงานได้ดี เมื่อรายได้และธุรกรรมส่วนใหญ่ไหลผ่านระบบ เช่น ผ่านบัญชีธนาคาร หรือระบบภาษี ดังนั้นการลดธุรกรรมเงินสดน่าจะช่วยแก้ปัญหาได้เยอะ
อีกประเด็นใหญ่คือการจูงใจดึงคนเข้าระบบ “ยื่นภาษี” ดร.พิพัฒน์เสนอว่า รัฐสามารถใช้ “ไม้นวม” เช่น สิทธิกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือสิทธิสวัสดิการเสริมเฉพาะคนในระบบ หรือระบบหวยใบกำกับภาษี ควบคู่กับ “ไม้แข็ง” เช่น การสุ่มตรวจภาษีและมีบทลงโทษจริงจัง
ต้อง e-Donation ถึงลดภาษีได้
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ทำหนังสือไปถึง 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนา แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ผู้บริจาคให้วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการรับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น ส่วนใบอนุโมทนาบัตรที่เป็นกระดาษใช้ในการหักลดหย่อนภาษีไม่ได้
ถือเป็นแนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนในยุคดิจิทัลของกรมสรรพากร ซึ่งจะทำให้กระบวนการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยจะสอดรับกับระบบ D-MyTax ด้วย
“ต่อไปจะใช้แต่ระบบ e-Donation เมื่อสแกนบริจาคเข้าบัญชีวัด ข้อมูลก็จะมาขึ้นที่กรมสรรพากรเลย ถ้าไปบริจาคเงินสด โดยได้รับใบอนุโมทนาบัตร อันนั้นจะได้แต่บุญ แต่ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่ได้ ทั้งนี้ การบริจาคผ่านระบบ e-Donation ข้อมูลก็จะวิ่งมาเข้า D-MyTax ของกรมด้วย ทำให้ผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บเอกสารหลักฐาน เพราะข้อมูลจะเข้าระบบมาโดยอัตโนมัติเลย จะทำให้ได้รับเงินคืนภาษีรวดเร็วมากขึ้น”
ดึงวัด 2.4 หมื่นแห่งเข้าระบบ
นายปิ่นสายกล่าวว่า ปัจจุบันเมื่อวัดจะนำมาใช้สิทธิหักรายจ่าย จะมีทั้งระบบ e-Donation และแบบการออกใบอนุโมทนาบัตรด้วยกระดาษ ซึ่งก็อาจจะมีช่องในการทุจริต คอร์รัปชั่นได้ ดังนั้นจึงกำหนดให้ใช้เฉพาะ e-Donation เท่านั้น โดยวัดที่ยังไม่ได้ใช้ระบบต้องไปลงทะเบียนกับสรรพากรพื้นที่ รวมถึงธนาคาร
“ตอนนี้วัดส่วนใหญ่กว่า 20,000 แห่ง ก็เข้ามาอยู่ในระบบ e-Donation ยังขาดอยู่อีกกว่า 4,000 แห่ง ซึ่งการเข้าระบบ วัดไม่ต้องลงทุนอะไร แบงก์จะทำระบบ QR Code ให้”
ทั้งนี้ เพื่อให้การสนับสนุนการพระศาสนาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริจาคทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาคได้ กรมสรรพากรขอความร่วมมือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในการประชาสัมพันธ์ไปยังวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 หากวัดใดยังมิได้ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร ขอให้ตรวจสอบข้อมูลการมีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค และลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2569
โดยกรมสรรพากรได้มอบหมายให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน รวมทั้งประสานงานธนาคารในพื้นที่เพื่อให้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการดำเนินการ
พระต้องยื่นแบบภาษี
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีมีผู้สอบถามว่า ทำไมไม่เก็บภาษีวัด ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักการภาษีในภาพใหญ่ เนื่องจากวัดไม่ใช่หน่วยภาษีตามประมวลรัษฎากร เพราะไม่ใช่หน่วยธุรกิจ แต่ปัจจุบันก็มีเก็บภาษีพระอยู่แล้ว ซึ่งพระที่มีเงินเดือนก็ต้องยื่นภาษี
“ตอนนี้ที่ทำได้คือ เอาเงินบริจาคให้เข้าบัญชีวัดให้หมด เพราะถ้าเงินบริจาคไม่เข้าบัญชีวัด ไม่ผ่านระบบ e-Donation คนที่บริจาคก็จะหักลดหย่อนไม่ได้ ดังนั้น ระบบ e-Donation ก็จะทำให้เงินบริจาควิ่งเข้าบัญชีวัด”
“จุลพันธ์” ชี้ต้องโปร่งใส
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า กรณีที่กรมสรรพากรได้ออกหนังสือด่วนถึง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้การบริจาคเงินวัดและองค์กรการกุศล ต้องผ่านระบบการบริจาคแบบ e-Donation นั้น ระบบดังกล่าวกรมสรรพากรได้ดำเนินการเสร็จสิ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงต้องการให้ใช้เป็นภาคบังคับในต้นปีหน้า
“หลังจากมีปัญหาเกิดขึ้นในวงการศาสนา จะเห็นว่าวิธีหนึ่งที่จะใช้แก้ไข คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อทำให้ระบบทุกอย่างตรวจสอบได้โปร่งใส ซึ่งขณะนี้มีบัญชีวัดที่ลงทะเบียนไว้กับทางรัฐแล้ว ประมาณกว่า 20,000 วัดทั่วประเทศ ขาดอยู่ประมาณ 4,000 วัด จึงอยากให้วัดที่เหลือเร่งดำเนินการ ลงทะเบียนกับกรมสรรพากร”
นายจุลพันธ์กล่าวว่า ในอนาคตหากคนไทยต้องการบริจาคเงินเข้าวัด หากใช้บริจาคด้วยเงินสดหรือใบอนุโมทนาบัตรแบบเก่า จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ หากต้องการนำไปลดหย่อนภาษีจะต้องบริจาคผ่าน e-Donation ทั้งหมด
“กรมสรรพากรได้เร่งดำเนินการและจะเปลี่ยนให้เป็นกลไกภาคบังคับ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และกรณีนี้จะครอบคลุมถึงสำนักสงฆ์ แต่หากไม่เข้าระบบนี้ก็ไม่ถือว่ามีปัญหา เพียงแต่ผู้ที่บริจาคจะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แก้กฎหมายบังคับทุกคนยื่นภาษี สังคายนากวาดเงินวัดเข้าระบบ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net