6 หุ้นลุ้นรีบาวด์ หากไทย-กัมพูชา หยุดปะทะได้จริง
หลังผลการประชุมไทย–กัมพูชาที่มาเลเซียได้ข้อสรุปหยุดยิงตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.68และเตรียมตั้งโต๊ะถกร่วมในระดับแม่ทัพและ GBCเพิ่มเติมในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งก่อให้เกิดความคาดหวังว่าความตึงเครียดต่อสถานการณ์ก่อนหน้านี้จะสามารถจัดการได้ และนำไปสู่ความคลี่คลายได้ในท้ายที่สุด
โดยหากปัญหานี้สามารถแก้ไขได้อย่างจริงจังจะส่งผลรวมไปถึงแวดวงตลาดทุนไทยที่ก่อนหน้านี้มีหุ้นหลายตัวถูกกดดันจนถูกแรงเทขายเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมีการทำข้อตกลงหยุดยิงก็ทำให้นักวิเคราห์เริ่มประเมินโอกาสฟื้นตัวของหุ้นที่เคยถูกแรงขายจากความกังวลชายแดน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการดำเนินธุรกิจเชื่อมโยงกับตลาดกัมพูชาบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ มองเป็นลบน้อยลงต่อสถานการณ์ ไทย-กัมพูชา ที่มีการหยุดยิง จากเดิมที่คาดว่าจะรุนแรงและยืดเยื้อ และจัดให้มีการประชุมร่วมกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ โดยประเมินว่าจะทำให้หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ไทย-กัมพูชา มีโอกาสกลับมา rebound ได้ในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้จริงหรือไม่ในระยะต่อไป สำหรับหุ้นที่ประเมินจะได้รับผลกระทบ เชิงลบและราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากก่อนหน้านี้ที่มีโอกาสกลับมาฟื้นตัว ได้แก่
บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท) โดยมีรายได้ 100% ในกัมพูชา มีความเสี่ยงและเป็น overhang จากการดำเนินธุรกิจหลักวิทยุการบินในกัมพูชาได้สัมปทานถึงปี 2594โดยราคาหุ้นลดลง -7.9% ตั้งแต่ 24 ก.ค.68ที่กัมพูชาเริ่มยิงไทยก่อน
บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG (ซื้อ/เป้า 79.00 บาท) สัดส่วนรายได้จากกัมพูชาประมาณ 13% ของรายได้รวม ซึ่ง CBG มี market เป็นอันดับ 1 ของกัมพูชา โดยมากกว่า 50% และต่างกับอันดับ 2 ซึ่งเป็นผู้ผลิต local ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ CBG มีสต๊อกที่ 3 เดือน และปัจจุบันขนส่งทางเรือซึ่งจะใช้เวลามากกว่าขนส่งทางบกประมาณ 3-4 วัน อย่างไรก็ตาม distributor ที่กัมพูชาเผยยอด sell-out ปัจจุบันยังปกติ โดยกิจกรรมทางการตลาดและการบริโภคในประเทศกัมพูชายังเป็นปกติ ทั้งนี้ ราคาหุ้นลดลง -7.4% ตั้งแต่ 24 ก.ค.68
ขณะที่บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีการระบุถึงประเด็นนี้เดียวกันนี้เช่นเดียวกัน โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยถือว่าน่าสนใจในมุมมองของต่างชาติ สังเกตได้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าน้อยกว่าค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า (WTD) แสดงว่า fund flow ยังวนเวียนอยู่ในไทย ไม่ได้ไหลออก หรืออาจมีการไหลเข้าเพิ่มด้วยซ้ำ ซึ่งปัจจัยสนับสนุนมาจาก 2 ปัจจัยกดดันที่ผ่อนคลายลง ได้แก่ Reciprocal tariff ไทย-สหรัฐฯ และข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเห็นนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิทั้งตลาดหุ้น 16.3 พันล้านบาท (ใน 14 วันทำการ) และตลาดตราสารหนี้ 4.3 พันล้านบาท (ใน 3 วันทำการ)
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ได้กระแสผ่อนคลาย สำหรับธีม Cambodia playได้แก่ CBG, OSP, OR, BDMS, BCH
โดย บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 19.00บาท โดยมองว่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปีนี้ 14.7 เท่า (Mean-1.5SD) ฐานะเป็นเงินสดสุทธิ จ่ายปันผลดี คาด Dividend Yieldปีนี้ที่ 6% ต่อปี
ขณะที่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 15.20 บาท ทั้งนี้ แม้กำไรระยะสั้นไตรมาส 2/68 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ถือว่าเป็นระดับที่ดี ซึ่งจะทำให้กำไรทั้งปีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดว่ากำไรครึ่งหลังของปี 2568 จะเติบโตสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำ และมีโอกาสจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นจาก 0.27 บาท ในปีที่แล้ว (อัตราจ่าย 52%) ตามกำไรครึ่งปีแรกที่เติบโต 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ด้าน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 30.50 บาท โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 2/68ยังเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน จากฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติ บวกกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่และ COVID-19ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง
สำหรับ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 21.70 บาท โดยคาดว่าไตรมาส 2/68 จะมีรายได้ที่ 3,099 ล้านบาท (+8.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน, +6.1% จากไตรมาสก่อน)และมีกำไรสุทธิที่ 326 ล้านบาท (+17.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน, +1.4% จากไตรมาสก่อน) เนื่องมาจากเป็นช่วงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากรอมฏอนและฐานที่ต่าปีก่อนและ GPMดีขึ้นมาอยู่ที่ 29.5%