จ่อทุบเพดานดีเซลเกิน 30 บาท พร้อมทำแผนวิกฤติน้ำมันใหม่
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สกนช. อยู่ระหว่างจัดทำแผนวิกฤติการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงปี 68-72 เนื่องจากแผนวิกฤติฯ เดิมใช้มาตั้งแต่ปี 63-67 ซึ่งครบกำหนด 5 ปีที่ต้องทบทวนใหม่แล้ว สาระสำคัญของแผนวิกฤติฯ ฉบับใหม่จะเน้นการพิจารณาด้านความเหมาะสมของการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปช่วยเหลือในสถานการณ์เกิดวิกฤติราคาพลังงาน โดยแผนฉบับใหม่จะทบทวนกรอบราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซล จากปัจจุบันยังยึดกรอบราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาทต่อลิตร แต่ขณะนี้ราคาปรับขึ้นไปอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น
“แผนใหม่นี้คาดว่า จะเสร็จประมาณปลายปี 68 นี้ โดยจะต้องนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พร้อมด้วยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามขั้นตอนก่อนจะประกาศใช้ต่อไป ตอนนี้ต้องกลับมาทบทวนว่ากรอบราคาดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท ยังเหมาะสมกับสถานการณ์โลกปัจจุบันอยู่หรือไม่ และหากจะปรับเปลี่ยนควรกำหนดราคาที่เหมาะเท่าไร โดยต้องกำหนดก่อนว่าสถานการณ์ใดจะเข้าข่ายการเป็นวิกฤติด้านพลังงาน และกรอบการนำเงินกองทุนฯ ไปช่วยเหลืออย่างเหมาะสมควรอยู่ที่ระดับใด ซึ่งปัจจุบันแผนวิกฤติฯ จะยึดหลักเกณฑ์กรณีราคาน้ำมันโลกเกิน 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ และราคาน้ำมันขายปลีกขยับขึ้นเกิน 1 บาทต่อสัปดาห์ ถือว่าเข้าข่ายเกิดวิกฤติราคาพลังงานที่กองทุนฯ เข้าไปรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันได้”
อย่างไรก็ตามการทำกรอบราคาดีเซลใหม่ จะมีการจัดทำกรอบราคาดีเซลที่หลากหลายแนวทาง โดยคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียที่จะเกิดขึ้นกับความรู้สึกของประชาชน ภาวะเศรษฐกิจประเทศ และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น ทั้งนี้ประชาชนจะเกิดความรู้สึกว่าราคาดีเซลแพงเมื่อขยับเกิน 30 บาทต่อลิตร แต่ที่ผ่านมาภาครัฐเคยขยับราคาไปสูงสุดถึง 35 บาทต่อลิตรในช่วงวิกฤติราคาพลังงานที่ผ่านมา ดังนั้นการกำหนดกรอบราคาใหม่จะพิจารณาปัจจัยหลายด้านประกอบกัน
นอกจากนี้จะมีการพิจารณาถึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ว่าควรตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัมต่อไปหรือไม่ และการช่วยเหลือควรเลือกเฉพาะกลุ่มครัวเรือน หรือควรช่วยทุกกลุ่มเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นจะดูว่าแนวทางไหนที่จะเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและฐานะเงินกองทุนฯ มากกว่ากัน
ทั้งนี้จากบทเรียนในช่วงวิกฤติราคาพลังงาน 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนฯ เข้าไปพยุงราคาดีเซลและแอลพีจีจนกองทุนฯ เป็นหนี้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 แสนล้านบาท และต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินถึง 105,333 ล้านบาท ดังนั้นจะต้องมีการทบทวนความเหมาะสมของการใช้เงินกองทุนฯ และการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานที่เหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากตามกฎหมายกองทุนฯ จะสามารถมีเงินสะสมได้ไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบัน (ล่าสุด ณ วันที่ 13 ก.ค. 68) กองทุนฯ ติดลบรวม 31,588 ล้านบาท