แบงก์ชาติ ยอมรับเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค.ชะลอเล็กน้อย ท่องเที่ยวลด โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางระยะไกล อุตสาหกรรมลด การผลิตซบเซา เอกชนลงทุนทรงตัว
BTimes
อัพเดต 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 0.22 น. • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Bizนางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการด้านการค้า การขนส่ง และการท่องเที่ยว โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากบางส่วนเร่งผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลังไปแล้วในเดือนก่อน ประกอบกับมีปัจจัยชั่วคราวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน
ขณะที่รายรับการท่องเที่ยว ลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางระยะไกล (long-haul) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูง ด้านการลงทุนภาคเอกชนลดลงหลังเร่งไปในเดือนก่อน ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวโดยหมวดสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่หมวดบริการปรับลดลง อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ตามความต้องการตลาดโลกและการเร่งส่งออกในช่วงระยะผ่อนผันการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากทั้งรายจ่ายประจำและลงทุนของรัฐบาลกลางจากผลของฐานสูงในปีก่อนที่มีการเร่งเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นจากเดือนก่อนจากหมวดอาหารสด อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงาน ติดลบใกล้เคียงกับเดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับเพิ่มขึ้นตามราคาอาหารสำเร็จรูป สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงตามดุลการค้าที่กลับมาเกินดุล ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนขาดดุล จากการส่งกลับกำไรของธุรกิจ ต่างชาติตามฤดูกาลด้านตลาดแรงงานโดยรวมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนตามการจ้างงานในภาคการผลิตเป็นสำคัญ
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป ธปท.มองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมชะลอลง ตามแรงส่งจากภาคท่องเที่ยว และการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี การผลิตในภาคยานยนต์มีสัญญาณปรับดีขึ้นบ้าง โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะต่อไป คือ 1.นโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก 2.พัฒนาการของภาคการท่องเที่ยว 3.การปรับตัวของภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ 4.ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยภายในประเทศ