โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

แฉกลางวงUNSC กัมพูชาโหดฆ่าเด็ก

ไทยโพสต์

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เปิดถ้อยแถลงทูตไทยประจำยูเอ็นในที่ประชุม UNSC แฉรายงานความโปร่งใสประจำปีของกัมพูชาเมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 ระบุว่ากัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ทหารฝ่ายกัมพูชาโจมตีทางอาวุธต่อพื้นที่ในดินแดนของไทยโดยไม่เลือกเป้าหมาย ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตจำนวน 14 ราย และบาดเจ็บ 46 ราย มีเด็กเสียชีวิต 4 คน ขอย้ำประโยคว่า "อย่าละสายตา" โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน และบ้านพักของพลเรือนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 4 คน ในระหว่างซื้อของที่ร้านขายของชำ โดยแม่และลูกสามคนไม่มีผู้ใดรอดชีวิตออกมา

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่คำแปลถ้อยแถลงเป็นภาษาไทย ของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก (ทูตไทยประจำยูเอ็น) ในการประชุมแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ภายใต้ระเบียบวาระเรื่อง ภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ความว่า

ถ้อยแถลงของนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในการประชุมแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ภายใต้ระเบียบวาระเรื่อง ภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

ณ ห้องประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก วันที่ 25 กรกฎาคม 2568

ท่านประธานที่เคารพ กระผมขอขอบคุณท่านที่จัดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในครั้งนี้ และขอขอบคุณผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติสำหรับการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์

ท่านประธาน กระผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ดี ในวันนี้ กระผมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องกล่าวถ้อยแถลงภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย เนื่องจากการกระทำอันเป็นการรุกรานโดยปราศจากการยั่วยุของกัมพูชา ซึ่งได้คุกคามต่ออำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และที่สำคัญยิ่ง ต่อชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพมาโดยตลอด

กระผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ประเทศไทยถือว่า กัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นสมาชิกที่สนิทสนมในครอบครัวอาเซียนมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่กัมพูชาได้รับเอกราชในปี 2496 (ค.ศ.1953) ประเทศไทยได้ช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ การสร้างชาติ และการพัฒนาของกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ไทยยังได้สนับสนุนข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 2534 (ค.ศ.1991) และการเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนของกัมพูชาในปี 2542 (ค.ศ.1999) ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาได้ร่วมมือกันด้วยความสุจริตใจเพื่อประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ

อย่างไรก็ดี ไทยและกัมพูชาประสบกับความท้าทายและมีความเห็นต่างในบางโอกาส ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันทั่วไป แต่เมื่อเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น สิ่งที่ควรกระทำ คือ การร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสันติ ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง และด้วยเหตุนี้ เราจึงมาหารือกันในที่ประชุมแห่งนี้

กัมพูชาโจมตีก่อน

ท่านประธานที่เคารพ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ได้เกิดการปะทะกันเล็กน้อยในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะที่ทหารไทยกำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามเส้นทางประจำที่กำหนดไว้ในเขตแดนของประเทศไทย ทหารฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มยิงโจมตีทหารไทยก่อน โดยปราศจากการยั่วยุใดๆ ทหารฝ่ายไทยจึงมีความจำเป็นต้องตอบโต้โดยคำนึงถึงความเหมาะและได้สัดส่วน ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ช่องทางทวิภาคีคือ แนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ไขปัญหาลักษณะดังกล่าว ไทยจึงได้พยายามผลักดันให้มีหารือกับกัมพูชาผ่านการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC) ซึ่งได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ

แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามปกติภายในดินแดนของไทยเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งนำไปสู่การทุพพลภาพถาวร ขณะที่ทหารนายอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกนำไปวางใหม่ในพื้นที่ ซึ่งเคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดหมดไปแล้ว ในการนี้ จึงขอเรียนข้อเท็จจริงว่า ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหมดสิ้นไปแล้ว ซึ่งรวมถึงส่วนที่เก็บไว้เพื่อการวิจัยและฝึกอบรม ตั้งแต่ปี 2562 ในขณะที่รายงานความโปร่งใสประจำปีของกัมพูชา เมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 ระบุว่า กัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคลประเภทดังกล่าว การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่เป็นที่รู้จักในนามอนุสัญญาออตตาวา (Anti-Personnel Mine Ban Convention - APMBC) ซึ่งไทยและกัมพูชาเป็นรัฐภาคี และขัดต่อเจตนารมณ์ของปฏิญญาเสียมราฐ-อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2567

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์อันร้ายแรงนี้ ประเทศไทยจึงได้ส่งหนังสือสองฉบับถึงประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 โดยชี้แจงข้อเท็จจริงของรายละเอียดเหตุการณ์และประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยโดยเจตนา นอกจากนี้ ไทยยังได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อขอให้ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ไม่เลือกเป้าหมาย

ต่อมา เมื่อเวลา 08.20 น. ของเมื่อวาน วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้เปิดฉากใช้อาวุธหนักยิงใส่ฐานปฏิบัติการของทหารฝ่ายไทยใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ และต่อมา ทหารฝ่ายกัมพูชาได้โจมตีทางอาวุธต่อพื้นที่ในดินแดนของประเทศไทยโดยไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นการกระทำอันเป็นการรุกราน และการโจมตีทางอาวุธอย่างผิดกฎหมายและโดยไม่เลือกเป้าหมาย กระผมขอย้ำคำว่า โดยไม่เลือกเป้าหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและความทุกข์ทรมานต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ มีเด็กเสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บสาหัสอีก 4 คน นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน รวมทั้งโรงพยาบาลและโรงเรียน ต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยจากรายงานสถิติความเสียหาย ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตจำนวน 14 ราย และบาดเจ็บ 46 ราย โดย 13 รายอยู่ในภาวะวิกฤต

ผมขอย้ำประโยคว่า "อย่าละสายตา" อีกครั้ง ทั้งนี้ ในเพียงระยะเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน และบ้านพักของพลเรือนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 4 คน ในระหว่างซื้อของที่ร้านขายของชำ โดยแม่และลูกสามคน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตออกมา และมีประชาชนมากกว่า 130,000 คน ที่ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย

ในการนี้ ประเทศไทยขอประณามอย่างถึงที่สุดต่อการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน และสถานประกอบการสาธารณะต่างๆ โดยเฉพาะโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 (The Geneva Conventions of 1949) โดยเฉพาะข้อ 19 ของอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่หนึ่ง และข้อ 18 ของอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่สี่

ท่านประธานที่เคารพ การรุกรานและการโจมตีทางอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการยั่วยุและมีการวางแผนล่วงหน้าของกองทัพกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 วรรค 4 ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ระบุห้ามไม่ให้มีการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐอื่น อีกทั้งยังขัดต่อหลักการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับรัฐเพื่อนบ้าน หลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน

แม้จะใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุด แต่ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ผมขอยืนยันว่า การตอบโต้ของไทยดำเนินการอย่างมีการจำกัดขอบเขตตามหลักความได้สัดส่วน และมุ่งเป้าในการขจัดภัยคุกคามที่เกิดขึ้นต่อหน้าจากการโจมตีของกองกำลังฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น มาตรการที่ใช้ทั้งหมดมุ่งเป้าต่อเป้าหมายทางทหารโดยตรง และได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อพลเรือน

กัมพูชาหลีกเลี่ยงการเจรจา

ประเทศไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนและต่อเนื่องในการยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น และเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐอื่นอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นหลักการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของระเบียบระหว่างประเทศและเสถียรภาพในภูมิภาค

ท่านประธานที่เคารพ ในฐานะประเทศที่รักสันติ ประเทศไทยขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อการใช้กำลังแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ และยังคงยึดมั่นต่อการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ในการนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ไทยได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการเจรจาและหารือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ รวมถึง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC) เพื่อแก้ไขความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่กัมพูชาจงใจหลีกเลี่ยงการเจรจา แต่พยายามนำเรื่องเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทางการเมืองของตนเอง

ในส่วนของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความเสียหายต่อบริเวณโดยรอบและโครงสร้างของปราสาทพระวิหาร ขอยืนยันว่าไทยได้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยึดมั่นในหลักการแบ่งแยกระหว่างพลรบกับพลเรือน ความได้สัดส่วนของการใช้กำลัง ความระมัดระวัง และความจำเป็นทางทหาร การตอบโต้ทั้งหมดของฝ่ายไทยจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด

ไม่มีการปะทะใดๆ ระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาเกิดขึ้นใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร พื้นที่ปะทะที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่บริเวณภูมะเขือ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร และปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นอกแนววิถีกระสุนของปฏิบัติการทางทหารของไทยโดยสิ้นเชิง จึงไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ ที่กระสุนหรือสะเก็ดระเบิดจะสร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหาร

ข้อกล่าวหาของกัมพูชาจึงปราศจากมูลความจริง และเป็นที่น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือบิดเบือน ซึ่งเป็นการทำให้ประเด็นมรดกทางวัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และขอให้กัมพูชาเคารพพันธกรณีระหว่างประเทศในการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมโดยสุจริตใจ

ในประเด็นระเบิดพวง ไทยขอยืนยันว่า การดำเนินการทางทหารเป็นไปตามหลักการแบ่งแยกระหว่างพลรบกับพลเรือน ความได้สัดส่วนของการใช้กำลัง และความจำเป็นทางทหาร ระเบิดพวงได้ถูกใช้โดยมุ่งไปยังเป้าหมายทางทหารเท่านั้น

ท่านประธานที่เคารพ ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการสู้รบและการกระทำที่เป็นการรุกรานโดยทันที และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาโดยสุจริตใจ ขอบคุณครับ

ไม่มีประเทศใดยอมรับได้

ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมคือสมาชิก UNSC จำนวน 15 ประเทศ รวมสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และรัสเซีย และเพิ่มไทยกับกัมพูชาในฐานะประเทศคู่กรณีรวม 17 ประเทศในที่ประชุม ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีนายเจีย แก้ว เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำยูเอ็นเป็นผู้แทนกล่าวแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชาต่อที่ประชุม

การประชุมในลักษณะนี้จัดขึ้นเป็นปกติเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะระหว่างสองประเทศ ไม่ใช่การประชุมเพื่อลงมติ แต่เป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย แถลงข่าวว่า “ผมเชื่อว่าไม่มีประเทศใดยอมรับการกระทำเช่นนี้ได้” พร้อมระบุว่า การกระทำของกัมพูชาไม่เพียงละเมิดอธิปไตยของไทย แต่ยังขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ซึ่งสมควรได้รับการประณามจากประชาคมโลก

นายมาริษกล่าวอีกว่า การเดินทางไปสหประชาชาติเพื่อเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (HLPF) เป็นโอกาสสำคัญในการชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และพบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากหลายประเทศ ได้แก่ เลขาธิการสหประชาชาติ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน (ประธาน UNSC), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปานามา (ว่าที่ประธาน UNSC วาระถัดไป), รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น (ประธานคณะกรรมการประจำอนุสัญญาออตตาวา) และผู้แทนประธานาธิบดีรัสเซีย

ในการหารือนายมาริษได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตยของไทยก่อน ย้ำจุดยืนของไทยในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคี และประณามการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชาในกรณีวางทุ่นระเบิด นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติได้ยื่นหนังสือชี้แจงต่อประธาน UNSC เพื่อให้สมาชิกได้รับทราบอย่างเป็นทางการ

นายมาริษยังกล่าวอีกว่า เมื่อคืนวันที่ 25 ก.ค.2568 (ตามเวลานิวยอร์ก) UNSC ได้จัดการประชุมแบบปิด โดยมี 15 ประเทศสมาชิก รวมถึงไทยและกัมพูชาเข้าร่วม ฝ่ายไทยย้ำว่ากัมพูชาเป็นผู้เริ่มโจมตี โดยโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ขณะที่ถ้อยแถลงของสมาชิก UNSC เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ หยุดยิง และแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการไกล่เกลี่ย โดยย้ำว่าสถานการณ์นี้ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และที่ประชุมไม่ได้มีมติหรือออกเอกสารใดๆ.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

กสทช.แจงเสาสัญญาณบนภูมะเขือเป็นเครือข่ายของกัมพูชา

21 นาทีที่แล้ว

‘ใหม่ ดาวิกา’ โต้กลับ! หลังโดนตัดต่อภาพจนทัวร์เขมรถล่ม

28 นาทีที่แล้ว

‘จิรายุ’ วอนปิดเว็บพิกัดศูนย์พักพิงเสี่ยงถูกล็อคเป้า

35 นาทีที่แล้ว

เดือด! เตือนรัฐบาล ห้ามขายชาติแลกภาษีทรัมป์-ฐานทัพต่างชาติ

40 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ทภ.2 ชี้แจงแล้ว! หลังมีข่าวลือ เตรียมเรียกระดมพลกำลังสำรอง

News In Thailand

รัฐบาลไทยยืนยันนโยบาย ปฏิบัติการสุภาพบุรุษทางการทหาร

สำนักข่าวไทย Online

โฆษก ทบ.ลั่นหยุดยิงไม่ได้ เหตุกัมพูชาเปิดฉากแต่เช้าตรู่

ฐานเศรษฐกิจ

กังฟู หัวหน้าพรรคไทรวมพลัง เผยทุกคนรู้ดีตลาดช่องอานม้าฝั่งเขมรยึด เป็นของเรามาตั้งนาน เชื่อชาวน้ำยืนรอคอยวันนี้

News In Thailand

ทหารไทยยึดคืน "ช่องอานม้า" ธงไตรรงค์โบกสะบัด ร้องเพลงชาติไทยกึกก้อง

คมชัดลึกออนไลน์

กสทช.แจงเสาสัญญาณบนภูมะเขือเป็นเครือข่ายของกัมพูชา

ไทยโพสต์

“กริพเพนไทย” ดียังไง หลังประวัติศาสตร์กองทัพส่งรบจริง ครั้งแรกของโลก

Thaiger

ตร. ตีแผ่ 5 พฤติกรรมสายลับ โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ขอความร่วมมือประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...