โลกร้อนฉุดผลผลิตทั่วโลก เด็กยุคใหม่อาจอดมื้อกินมื้อ
งานวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลผลิตพืชอาหารหลักทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าผลผลิตข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวสาลี จะลดลงถึง 40-50% ภายในสิ้นศตวรรษนี้ หากภาวะโลกร้อนไม่ได้รับการควบคุม
การศึกษาซึ่งดำเนินการนานถึง 8 ปี โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ นับเป็นการวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อผลผลิตพืชหลัก 6 ชนิดในกว่า 12,000 พื้นที่ทั่วโลกอย่างละเอียด รวมถึงการศึกษาวิธีที่เกษตรกรปรับตัว เช่น การเปลี่ยนสายพันธุ์พืชและปรับระบบชลประทาน
ผลการศึกษาพบว่า ทุกครั้งที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะทำให้ผลผลิตอาหารเฉลี่ยลดลง 120 แคลอรี่ต่อคนต่อวัน ส่งผลให้ราคาสินค้าอาหารสูงขึ้น และทำให้ประชาชนเข้าถึงอาหารได้ยากมากขึ้น ขณะนี้โลกมีแนวโน้มที่จะร้อนขึ้นประมาณ 3 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 ซึ่งจะส่งผลรุนแรงต่อความมั่นคงทางอาหาร
ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และข้าวโพดจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยพื้นที่สำคัญอย่างเกรนเบลต์ในสหรัฐฯ รวมถึงภาคตะวันออกของจีน เอเชียกลาง แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง จะมีผลผลิตข้าวโพดลดลงประมาณ 40% ขณะที่ถั่วเหลืองในสหรัฐฯ คาดว่าจะลดลงถึง 50% ผลผลิตข้าวสาลีในสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และแคนาดาก็จะลดลงประมาณ 40% ส่วนข้าวเป็นพืชหลักชนิดเดียวที่อาจได้รับประโยชน์จากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในเวลากลางคืน จึงอาจไม่สูญเสียผลผลิตมากนัก
นักวิจัยระบุว่าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยและเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก อาจได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าประเทศยากจน เนื่องจากระบบเกษตรกรรมในประเทศเหล่านี้ถูกออกแบบมาสำหรับสภาพอากาศปัจจุบัน แต่ไม่เหมาะกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วนอกจากนี้ พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองในภาคกลางของสหรัฐฯ ที่เคยเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก อาจไม่สามารถรักษาผลผลิตได้ในอนาคต หากภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป
ส่วนผลผลิตมันสำปะหลังในแอฟริกา ซึ่งเป็นอาหารหลักของประชากรยากจนในพื้นที่นี้ ก็มีแนวโน้มลดลงอย่างมากจากความร้อนจัด แม้ว่ามันสำปะหลังจะทนต่อภาวะแห้งแล้งได้ดี แต่ความร้อนจัดส่งผลเสียต่อพืชชนิดนี้เช่นกัน
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าการปรับตัวของเกษตรกร เช่น การเปลี่ยนสายพันธุ์พืชและระบบชลประทาน จะช่วยชดเชยผลกระทบบางส่วนได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับประกันความมั่นคงทางอาหารในอนาคตนอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในการศึกษาที่ไม่ได้รวมการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เช่น การเปลี่ยนชนิดพืชหรือการเปลี่ยนเวลาปลูก ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนได้บ้าง
งานวิจัยนี้ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงต่อระบบอาหารโลกในอนาคต หากไม่ดำเนินการแก้ไข ปัญหานี้จะสร้างความเสียหายและค่าใช้จ่ายสูงมากในอนาคต และมนุษยชาติก็ไม่เคยเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรงเท่านี้มาก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ยุโรปร้อนทะลุปรอท จนประเด็น “ติดแอร์” ดีไหม? กลายเป็นศึกการเมืองในฝรั่งเศส!
- โลกให้สัญญาแต่ไม่ให้เงิน! ประเทศเสี่ยงสุดได้แค่เศษเงิน ทั้งที่วิกฤตโลกร้อนนั้นไม่รอใคร
- โลกร้อนเขย่ายอดเขาสูง! มงบล็องเสี่ยงแผ่นดินไหวพุ่ง 10,000 เท่า นักวิจัยชี้ภัยเงียบจากน้ำแข็งละลาย
- ทะเลร้อน หอยสู้ไม่ไหว! หอยเทอร์โบซาซาเอะ อพยพหนีวิกฤตภูมิอากาศ
- หมู่บ้านในเทือกเขาหิมาลัย ที่ยอมแพ้ต่อ “โลกร้อน”