SCGC รับภาษีสหรัฐฯ อาจกระทบทางอ้อม หากคู่ค้าส่งออกได้น้อยลง จับตา! ผลการเจรจา อาจฉุดความสามารถแข่งขัน
ซีอีโอ SCGC คาดมาตรการภาษีสหรัฐฯ ไม่กระทบธุรกิจโดยตรง แต่อาจกระทบทางอ้อมหากคู่ค้าส่งออกน้อยลง และที่สำคัญคือหากถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสูงกว่าเวียดนามที่เจรจาได้ 20% จะฉุดความสามารถในการแข่งขัน
ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เปิดเผยว่า มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเอสซีจี เคมิคอลส์ โดยตรงมากนัก เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยมาก
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือผลกระทบทางอ้อมที่อาจเกิดกับบริษัทคู่ค้า เพราะหากบริษัทเหล่านั้นไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ ความต้องการแพ็กเกจจิ้งจากลูกค้าของบริษัทก็จะลดลงด้วย
และอีกปัจจัยที่น่าเป็นห่วงเช่นกัน คือการที่ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามสามารถบรรลุการเจรจาภาษีได้ในอัตรา 20% หากไทยไม่สามารถบรรลุผลการเจรจาได้ดีเท่า ความสามารถในการแข่งขันก็อาจจะลดลงได้
แม้ว่าสหรัฐฯ จะต้องการดึงฐานการผลิตกลับยังประเทศมากเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ในเวลาแค่ 1-2 ปี สหรัฐฯ จึงต้องยอมซื้อของในราคาที่แพงขึ้นไปก่อน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะแพงน้อยกว่ากัน
ทั้งนี้ ศักดิ์ชัยฝากถึงภาครัฐว่า สินค้าปิโตรเคมีนับเป็น Strategic Product ที่อยู่ต้นน้ำ ซึ่งหากภาครัฐไม่ช่วยคุ้มครอง ธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำจะอยู่ไม่ได้ พร้อมแสดงความกังวลว่ารัฐบาลอาจนำ เงินภาษีไปตอบแทนสหรัฐฯ มากเกินไป โดยละเลยภาคธุรกิจในประเทศ
ปรับแผนธุรกิจ รับมือสินค้าจีนทะลัก
ไม่เพียงเท่านั้น ศักดิ์ชัยยังเผยอีกด้วยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังอยู่ในสภาพการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากสินค้าจากผู้ประกอบการจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในไทย พร้อมย้ำว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังยังคงผันผวนต่อไป
ศักดิ์ชัยระบุว่า จากการแข่งขันที่รุนแรง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมหลายรายจึงทยอยลดการผลิต ซึ่งลากยาวมาตั้งแต่ไตรมาส 1 จนถึงไตรมาส 2 และบางบริษัทก็หยุดการผลิต อย่างไรก็ตาม การผลิตของจีนที่เพิ่มขึ้นมาก็เข้ามาทดแทนส่วนที่หายไปได้พอดี
ทั้งนี้ เอสซีจี เคมิคอลส์ ได้ปรับแผนธุรกิจเชิงรุกเพื่อรับมือกับสถานการณ์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมสร้างการเติบโต โดยแบ่งแผนเป็นระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
ในระยะสั้น จะมีการลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดทุนหมุนเวียน ลดค่าใช้จ่ายโดยประยุกต์ใช้ดิจิทัลและ AI พร้อมกับเร่งพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added) และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เร่งขยายธุรกิจ Service Solution ครบวงจร พร้อมขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC
ส่วนในระยะยาว จะเป็นโครงการนำเข้าก๊าซอีเทน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดหาวัตถุดิบ และลดความเสี่ยงจากระดับราคาน้ำมันที่ผันผวน
ทั้งนี้ ศักดิ์ชัยมองว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาถึงจุดต่ำสุดของวัฏจักรแล้ว แต่จุดดังกล่าวถูกลากยาวกว่าที่เคยเป็น ซึ่งต้องรอเวลาให้จบช่วงเวลาขาลง ขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 2 ปี