เมื่อรักแม่ไร้กรอบ ตัวละครจึงไร้ขีดจำกัด คุยยาวๆ กับ จูลีแอนน์ มัวร์ เผยเทคนิคการแสดงเบื้องหลัง Echo Valley
ในชีวิตที่แสนเรียบง่ายของผู้หญิงคนหนึ่ง พลังความรักของแม่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ผลักให้เธอก้าวข้ามขีดจำกัด จนอยู่ระหว่างเส้นแบ่งของความเป็นฮีโร่ของลูกกับความเป็นปีศาจ และใน Echo Valley ภาพยนตร์ระทึกขวัญล่าสุดจาก Apple TV+ ที่นำแสดงโดย จูลีแอนน์ มัวร์ ผู้รับบทเป็นเคท แม่ที่ต้องลุกขึ้นสู้เพื่อกอบกู้ชีวิตลูกสาวเจ้าปัญหาติดยา อย่าง แคลร์ (รับบทโดย ซิดนีย์ ซิดนีย์ สวีนนีย์) จูลีแอนน์ ก็ได้มอบการแสดงที่ทรงพลัง และเต็มไปด้วยชั้นเชิงทางอารมณ์
เธอสร้างเคท ผู้หญิงธรรมดาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ไม่ธรรมดา ขึ้นมาได้อย่างไร บทสัมภาษณ์นี้จะเจาะลึกเบื้องหลังการสร้างตัวละครที่เรียบง่าย ทว่าซับซ้อนนี้ พร้อมสะท้อนแนวคิดและเทคนิคการแสดงของเธอ รวมไปถึงมุมมองต่อความเป็นแม่
[เมื่อความรักแม่ไม่มีขีดจำกัด: การสร้างตัวละคร Kate ท้าทายขอบเขตแห่งความเป็นมนุษย์]
Q: ความคิดที่ว่า ‘คุณจะยอมไปสุดแค่ไหน เพื่อลูกของคุณ?’ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คุณสนใจหนังเรื่องนี้รึเปล่า?
ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ นั้นน่าดึงดูดสำหรับฉันค่ะ ฉันคิดว่าความสัมพันธ์คือสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของเรา ไม่ว่าจะกับคู่รัก ลูก เพื่อน หรือสังคมรอบๆ ตัวเรา และEcho Valleyก็พูดถึงเรื่องนี้โดยตรง เพราะมันเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก
แต่มันยังมีองค์ประกอบของหนังระทึกขวัญเข้ามาเสริมด้วย และมันทำให้ฉันนึกถึงหนังสมัยยุค 40 เหมือนพวกที่เขาเรียกว่า ‘ภาพยนตร์ผู้หญิง’ แบบคลาสสิก ตัวละครหญิงเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ถูกผลักให้ต้องเผชิญสถานการณ์ไม่ธรรมดา
ฉันชอบมันมากเลยค่ะ ฉันคิดว่ามันทั้งคาดไม่ถึง ทั้งซาบซึ้ง สนุก และยังเป็นหนังระทึกขวัญแบบคลาสสิกที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ
[‘Playable Action’ เทคนิคการแสดงที่ทำให้ตัวละครมีชีวิต]
Q: คุณเคยเล่นตัวละครที่ซับซ้อนมาเยอะมาก แล้วในกรณีของเคท ทั้งในเชิงเทคนิคการแสดงและการเข้าถึงตัวละคร ส่วนที่ง่ายและท้าทายมากที่สุดคืออะไร?
อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการแสดง มันไม่เคยง่ายเลยค่ะ เพราะหน้าที่ของนักแสดงคือการทำให้ตัวละครดูเป็น ‘คนจริงๆ’ ฉันชอบพูดว่า… ‘อย่าลืมนะ ว่านี่มันเป็นเรื่องแต่งหมดเลย’ มีคนๆ หนึ่งเขียนบทขึ้นมา เรากำลังเล่นเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เราต้องทำให้คนดูเชื่อว่าตัวละครมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
ความท้าทายคือ จะทำยังไงให้คนดูรู้สึกว่า ‘ฉันรู้จักเธอ’ หรือ ‘เธอก็เหมือนกับเรา’ นั้นคือหน้าที่ของคุณในฐานะนักแสดง ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องพยายามถ่ายทอดเหตุผลภายในใจของตัวละครด้วย
สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบมาก คือ ‘playable action’เรามักพูดถึง ‘ความรู้สึก’ ของตัวละคร แต่ในความจริง ตัวละครก็ต้อง ‘ทำบางอย่าง’ ต้องลุกจากเก้าอี้ เดินข้ามห้อง ฯลฯ เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำในชีวิตจริง เราต้องไปขึ้นรถไฟ ต้องไปทำงาน ต้องทำอาหาร
พฤติกรรมเหล่านี้ทั้งหมด คือส่วนประกอบเล็กๆ ที่เมื่อนำมารวมกันจะทำให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมา การสร้างตัวละครจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘ความรู้สึก’ แต่ต้องรวมถึง ‘การกระทำ’ ด้วยค่ะ
[เมื่อคนธรรมดาทำสิ่งสุดโต่ง: การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับความไปสุดของตัวละคร]
Q: ใน Echo Valleyการตัดสินใจบางอย่างของเคทค่อนข้างสุดโต่ง ในฐานะนักแสดง คุณมีวิธีการเฉพาะอะไรไหม ที่จะทำให้โมเมนต์เหล่านั้นรู้สึก ‘จริง’ และทำให้ผู้ชมเชื่อได้ โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็นตัวละครที่ดูเหมือนคนธรรมดา?
คุณต้อง ‘เชื่อ’ มันด้วยตัวเองก่อนค่ะ ฉันว่านั่นแหละคือเคล็ดลับสำคัญ นักแสดงส่วนมากจะสามารถสัมผัสได้ว่าฉากไหนไม่จริง พวกเขารู้เลยว่า ‘โอ้ นั่นมันแย่มาก ตรงนั้นมันยังไม่จริง มันยังไม่ได้’
และเมื่อกี้ที่ฉันพูดถึง ‘playable action’ ซึ่งก็คือสิ่งที่ตัวละคร ‘ทำ’ จริงๆ บางสิ่งที่เคททำมันดูสุดโต่งมาก เธอทำด้วยอารมณ์พาไป หรือในความคิดของฉัน คือเธอทำโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากชีวิตจริงเลยนะคะ
อย่างเวลาที่เราวิ่งข้ามถนนเร็วๆ โดยไม่ดูว่าเรากำลังวิ่งผ่านอะไร และขณะที่เราวิ่ง เราก็แค่หวังว่าเราจะไม่โดนชน คุณอาจจะเลือก ‘หยุดดู’ ก่อน แล้วค่อยวิ่ง หรือไม่ก็ดิ่งไปเลยโดยไม่คิดอะไร
และสิ่งที่เคททำมันก็คล้ายๆ แบบนั้นค่ะ เหมือนเธอแค่ ‘วิ่ง’ เลยโดยไม่หยุดมอง และเธอก็แค่วิ่งไปเร็วมากๆ ฉันพยายามคิดถึงข้อนี้เวลาฉันเข้าบทว่า หลายๆ อย่างที่เธอทำไม่จำเป็นต้องมีเหตุมีผล เพราะในชีวิตจริง พวกเราก็ไม่ได้มีเหตุผลตลอดเวลานี่คะ
[Echo Valleyvs The Room Next Door:ความแตกต่างของโทนและแนวหนัง]
Q: ในหนังเรื่องนี้มีอารมณ์ซับซ้อนที่ลึกลงไปกว่าที่เราเห็น เทียบกันกับเรื่องThe Room Next Door คุณเข้าถึงตัวละครด้วยวิธีไหน?
ทุกอย่างในภาพยนตร์มันเริ่มต้นจากบทภาพยนตร์กับผู้กำกับค่ะ และในกรณีนี้ เราต้องพูดถึงเรื่องของแนวหนัง ด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นหนังระทึกขวัญ (thriller) มันมีจังหวะและพลังงานเฉพาะของมัน มันมี ‘เดิมพัน’ ที่แตกต่าง
ในเรื่อง The Room Next Door มันเหมือนการ ใคร่ครวญเกี่ยวกับมิตรภาพ ความตาย และอาจจะรวมถึงประเด็นทางการเมืองด้วย เพราะฉะนั้น โทนของหนังมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้ว่า The Room Next Door จะมีอารมณ์ลึกซึ้ง แต่ในEcho Valley อารมณ์จะ ‘ระเบิดออกมา’ มากกว่า มีความผันผวนสูงกว่า มันเป็นเรื่องของโทน และประเภทของหนังด้วยค่ะ
เพราะเราอยู่ในหนังระทึกขวัญ เราจึงต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกจิกเก้าอี้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ‘ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้’ และฉันคิดว่ามีความลึกลับบางอย่างที่แทรกอยู่ในเรื่องนี้ด้วยค่ะ
[ทำลายกรอบความเป็นผู้หญิง: Kate กับการท้าทายความคาดหวังของสังคม]
Q: ตลอดเส้นทางอาชีพของคุณ คุณมักถ่ายทอดตัวละครที่ท้าทายกรอบเดิมๆ ของการเป็นผู้หญิง ‘ตัวละครเคท’ บทบาทนี้เติมเต็มหรือขยายแนวทางที่คุณเล่นมาตลอดอย่างไร และมันทำให้คุณตั้งคำถามใหม่ๆ กับความคาดหวังทางสังคมต่อความเป็นแม่หรือไม่?
คำถามใหญ่มากเลยนะคะ ฉันชอบมาก และฉันก็ชอบสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับความไม่ ‘เหมารวม’ เพราะบ่อยครั้งเวลาเราคุยถึงหนัง หนังสือ หรือศิลปะอะไรสักอย่าง เรามักจะถามว่า ‘มันเกี่ยวกับอะไร’ หรือพยายามหาคำตอบให้กระชับที่สุด
บางคนก็ชอบถามว่า ‘อธิบายตัวละครของคุณในสามคำสิ’ แล้วฉันก็จะรู้สึกว่า แบบนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เราจะสรุป ‘ชีวิต’ หรือ ‘ความจริงของใครสักคน’ ให้อยู่ในคำพูดไม่กี่คำได้ยังไง?
สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับเคทคือ เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป เธอไม่ใช่คนที่คุณจะเข้าใจได้ตั้งแต่แรกเห็น คุณอาจมีภาพในหัวว่าเธอเป็นคนยังไง ว่าเธอทำอะไรได้บ้าง และสุดท้ายมันกลับทำให้คุณประหลาดใจมากๆ
ไมเคิล เพียร์ซ (ผู้กำกับ) กับฉันคุยกันเยอะมากว่าเราต้องการให้เคทดูเป็น ‘คนธรรมดา’ เธอเป็นคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก และหนักหน่วง เธอเป็นผู้หญิงที่ต้องจัดการฟาร์มคนเดียว มีปัญหาการเงิน ต้องรับมือกับการสูญเสียคนรัก และลูกสาวที่มีปัญหาเรื่องการเสพติด เธอรับแรงกดดันมหาศาล และคุณเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะไหวมั้ย แต่เธอกลับทำได้เหนือความคาดหมายมากๆ
[แรงผลักดันที่ไม่เคยหมด: ความหลงใหลในการแสดงที่ยาวนานหลายทศวรรษ]
Q: ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณมีผลงานยอดเยี่ยมออกมาเรื่อยๆ ทุกปีเราก็จะได้เห็นคุณมีบทบาทใหม่ๆ ที่ผู้ชมให้การตอบรับดีมาก คุณรู้สึกยังไงกับเส้นทางอาชีพนี้ และอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้คุณยังคงทำงานเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อยๆ?
ก่อนอื่นเลย ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำชม นั่นเป็นคำพูดที่น่ารักมากเลยค่ะ ฉันรู้สึกโชคดีมากจริงๆ ที่ได้ทำงานนี้ มันคือสิ่งที่ฉันได้รับความสุขจากมันอย่างแท้จริง
พูดตรงๆ เลย ฉันเคยคิดเหมือนกันว่าสักวันหนึ่งฉันอาจจะรู้สึกเบื่อหรือไม่อยากแสดงอีกแล้ว แต่ความจริงคือ มันกลับยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันชอบความสัมพันธ์ ฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับพฤติกรรมความเป็นมนุษย์ ฉันรักการทำงานร่วมกับนักแสดง ผู้กำกับ นักเขียน และทีมงานเบื้องหลัง ทุกคนมารวมกันเพื่อสร้าง ‘บางสิ่ง’ ที่มีชีวิตของมันเอง
ฉันมักพูดว่าทุกคนมารวมกันและพวกเราต่างมีประสบการณ์ที่เฉพาะแต่ลึกซึ้ง ทุกคนเอาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตัวเองมาผสานกันเพื่อทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เหมือนการสร้าง ‘วัตถุ’ บางอย่างร่วมกัน
เพราะฉะนั้นฉันสนุกกับมันมาก และรักที่จะทำมัน มันคือการใช้ ‘จินตนาการ’ อย่างลึกซึ้ง เหมือนเวลาเราดำดิ่งไปในหนังสือหรือเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม และมันยังคงดึงดูดใจฉันเสมอ ฉันหวังว่าจะยังได้ทำงานแบบนี้ต่อไปอีกค่ะ