พาราสาวะถี
คึกคักเป็นอย่างยิ่งกับงานเลี้ยงสังสรรค์ของพรรคร่วมรัฐบาลที่เพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อค่ำวันอังคารที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตรเดินทางไปร่วมงานในฐานะวิทยากรพิเศษตามคำเชิญของพรรคแกนนำรัฐบาล งานนี้พ่อนายกรัฐมนตรีไม่มีกั๊ก นักข่าวถามจะพูดเรื่องอะไรคำตอบที่ได้คือ มางานการเมืองต้องพูดเรื่องการเมืองแน่นอนว่า หลายประโยคของนายใหญ่เป็นการตอกย้ำเป้าหมายของรัฐบาลผสมชุดปัจจุบัน ที่ยังคงมีภารกิจต้องทำร่วมกันต่อเนื่องไปจนถึงหลังเลือกตั้งครั้งหน้า
ไม่ได้เป็นการพูดเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อช่วยกันค้ำยัน สร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตรรวมไปถึงการร่วมกันผลักดันสนับสนุนให้เพื่อไทยได้เป็นแกนนำต่อไป แต่เป็นเพราะโจทย์ที่ได้รับมาในการตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว แม้แต่ภูมิใจไทยเองก็รับรู้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าผลการเลือกตั้งครั้งใหม่จะออกมาอย่างไร สูตรการจัดตั้งรัฐบาลต้องเป็นขั้วการเมืองเดิม เพื่อที่จะสกัดกั้นไม่ให้พรรคประชาชนเข้าสู่อำนาจบริหารได้
มีแค่ทางเดียวเท่านั้นที่พรรคสีส้มจะสามารถตั้งรัฐบาลได้ คือการชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายแลนด์สไลด์ ได้คะแนนจนสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ หากน้อยไปกว่านั้น ยังไงก็ไม่มีทางที่จะรวบรวมเสียงข้างมากได้หรือแม้กระทั่งชนะเลือกตั้งมาแล้วต่อให้เกินกึ่งหนึ่งของสส. ทั้งสภา เชื่อขนมกินได้เลยว่า จะมี สส.ของพรรคจำนวนหนึ่งถูกสอยให้พ้นจากเก้าอี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามบอกแล้วว่าตราบใดที่ยังคงความสุดโต่ง และยึดแนวทางที่ได้ประกาศไปแล้ว ไม่มีทางที่พรรคแบบนี้จะไปถึงฝั่งฝันเป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐ
สิ่งหนึ่งที่ทักษิณพูดบนเวทีดินเนอร์ของพรรคร่วมรัฐบาล คงเป็นประสบการณ์ในยุคที่ตัวเองเคยทำหน้าที่ช่วยราชการ ปรีดา พัฒนถาบุตรรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งการเมืองสมัยนั้นรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลผสม แต่ความมั่นคงในสภาต้องยอมรับว่ามีปัญหามากกว่าในปัจจุบันเหมือนที่นายใหญ่เล่าต้องไปไล่ตามหัวหน้าพรรคต่างๆ และทำบัญชี ซึ่งตรงนี้ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจเพื่อให้ผู้แทนทั้งหลายได้อยู่ในสภาฯ ให้เรียบร้อย และมั่นใจว่าฝ่ายรัฐบาลจะชนะการโหวต
เพียงแต่ว่าในยุคปัจจุบันอาจจะง่ายหน่อย ด้วยความทันสมัยของเครื่องมือสื่อสาร ทำให้การประสานงานไม่ยุ่งยาก เรื่องการทำบัญชีถูกแปรสภาพเป็นการแจกกล้วยแทน นั่นจึงทำให้ทักษิณไม่กังวลต่อความเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ อยู่ที่ว่าทุกพรรคจะต้องแข็งแรง สามารถควบคุมสั่งการให้ สส. เข้าสภาเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และมีเสถียรภาพในแง่ของคะแนนเสียง สิ่งสำคัญคือต้องขยันขันแข็งเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสภาล่มจากการถูกเสนอนับองค์ประชุมบ่อยครั้ง
เรื่องนี้ทักษิณเน้นย้ำว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องสร้างความเป็นปึกแผ่น สร้างความแข็งแรงของพรรคร่วมรัฐบาลถึงแม้ว่าเสียงจะเกินกึ่งหนึ่งไม่มากเกินไปนัก แต่ด้วยความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาของชาติ เสียงหนึ่งเสียงก็เกินพอ ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่ายุทธการซึ่งไม่ค่อยพึงปรารถนาเท่าไหร่ที่มาจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งนายใหญ่ชี้ว่าไม่เป็นไรอย่าไปพูดถึง ขอแค่ให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันรัฐบาลก็จะอยู่รอด
พร้อมกับการหยอดคำหวานที่เชื่อว่าจะสร้างความพึงพอใจ และมั่นใจกับ สส. พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดนั่นก็คือ “เราจะไปด้วยกัน และตนบอกกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า ทีมนี้แหละที่เมื่อเลือกตั้งแล้วก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่ทิ้งกันขนาดนี้ก็ไม่ทิ้งกันตลอดไปจริงหรือไม่”การพบปะกันหนนี้เหมือนเป็นการให้ทักษิณได้ตอกย้ำ สร้างความเชื่อมั่นให้กับบรรดา สส.ทั้งหมด ฝ่ายบริหารจะไม่มีระยะห่างกับฝ่ายนิติบัญญัติเหมือนที่ผ่านมา
งานนี้นายใหญ่ชี้ชัด รัฐมนตรีให้ทำงานไปด้วย และให้แบ่งเวลาให้ความอบอุ่นกับ สส.ด้วยเหตุผลที่ยกมาอ้างว่าเพราะประชาชนอยู่ใกล้กับ สส. เวลามีทุกข์ก็ต้องบ่นกับ สส. หรือพรรคการเมือง เป็นเพียงแค่หลักการทำให้ดู แต่ความจริงสารที่ทักษิณสื่อออกมานั้นแทบไม่ต้องตีความว่าการให้ความอบอุ่นนั้นหมายถึงอะไร อบอุ่นในเชิงความรู้สึกคงไม่สามารถทำให้ สส. รู้สึกว่ามั่นคงได้ เช่นเดียวกับคำพูดที่ว่าบางครั้งหากไม่ดูแลก็จะถูกตีท้ายครัว หากดูแลดีๆ ก็ไม่ถูกใครตีท้ายครัว
นี่ย่อมเป็นความกระจ่างว่ารัฐมนตรีของทุกพรรคจะต้องดูแล สส.กันแบบไหนหากเป็นการเมืองยุคก่อนอาจจะหมายถึงการจุนเจือกันด้วยกล้วยจำนวนมหาศาล แต่ยุคนี้แค่จัดสรรงบประมาณ หรือให้งานที่เกิดจากการประมูลของภาครัฐในแต่ละพื้นที่ แค่เท่านี้ก็ทำให้ สส. รู้สึกอบอุ่น มั่นคงแล้ว พบปะ พูดคุยกันแบบเปิดอกแบบนี้ ย่อมทำให้หมดห่วงเรื่องเสียงสนับสนุนคงต้องไปลุ้นกันกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แพทองธาร จะได้ไปต่อในฐานะผู้นำประเทศ หรือจบลงหลังการชี้ขาดของศาล
หากพิจารณาจากท่าทีของนายใหญ่และลูกสาวแล้ว พอจะทำให้มองได้ว่า น่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าถูกสอยด้วยปัจจัยที่เกื้อหนุนหลายประการ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปจากอดีตในยุคของความขัดแย้ง ไม่เพียงแต่คดีของแพทองธารเท่านั้น ในส่วนคดีของทักษิณเองก็ดูท่าว่าเจ้าตัวจะมั่นใจไม่น้อย จึงมีการส่งสัญญาณให้กับ สส.พรรคร่วมรัฐบาลว่า หลังจากที่ตนพ้นบ่วงของตัวเองแล้ว จะแวะไปเยี่ยม สส.ทุกคน ทุกจังหวัดไปให้คำปรึกษา คำแนะนำ มีอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจ เรียกได้ว่า เปิดทางให้เกิดการพูดคุยกันได้ตลอดเวลา
อย่างที่บอกไว้ว่า การมาร่วมงานครั้งนี้ของทักษิณเรื่องแชร์ประสบการณ์ ความเป็นวิทยากรพิเศษอะไรนั่นแค่พิธีกรรมเพื่อให้ได้ฟังแล้วรู้สึกดี แต่ความจริงก็คือเป็นการมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าแกนนำและสส.ของพรรคร่วมรัฐบาล การยืนยันว่า “ทุกคนมีผมอยู่ที่นี่ อย่าว้าเหว่”เท่ากับเป็นการยืนยันเรื่องการดูแลกันเป็นอย่างดี การันตีเพื่อให้ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติทำงานได้อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องการหายไปของพรรคสีน้ำเงินนั้น เหมือนที่นายใหญ่ว่า ไม่ต้องไปตกใจเสียงหายไปได้ก็กลับมาได้นั่นเป็นเพราะมีมือทำงานประเภทใจถึงพึ่งได้ เสียงมีแต่จะเพิ่ม
อรชุน