จับตา 6 ศึกใหญ่ การเมืองระอุ เดือนสิงหาคม
จับตา 6 ศึกใหญ่ การเมืองระอุ เดือนสิงหาคม
วันที่ 31 ก.ค.68 | ข่าวการเมือง(พิเศษ) เดือนสิงหาคม 2568 กำลังกลายเป็นหนึ่งในเดือนประวัติศาสตร์ที่ทิศทางของประเทศจะถูกทดสอบ ทั้งในแง่ ความมั่นคงระหว่างประเทศ และ กระบวนการยุติธรรมในคดีการเมืองอ่อนไหว 3 เหตุการณ์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจเปลี่ยนสมดุลอำนาจ และสะท้อนบทบาทของไทยในเวทีโลกและภายในประเทศอย่างชัดเจน
🔴 1 สิงหาคม กองทัพไทยพาทูตทหารต่างชาติลงพื้นที่ชายแดน
กองทัพไทยเปิดภารกิจพิเศษในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยนำ ผู้แทนทูตทหารจากนานาประเทศ ลงพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อ เยี่ยมชมจุดเกิดเหตุ และรับฟังข้อมูลโดยตรงจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่ทวีความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา
ภารกิจครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น ความพยายามของรัฐบาลไทยในการสร้างความชอบธรรมบนเวทีระหว่างประเทศ ท่ามกลางข้อกล่าวหาจากกัมพูชาว่า ไทยเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตยและโจมตีพื้นที่พลเรือน ซึ่งทางการไทยปฏิเสธมาโดยตลอด
การเชิญทูตทหารต่างชาติลงพื้นที่จริง จึงไม่เพียงแต่แสดงท่าทีเปิดเผยและโปร่งใส แต่ยังเป็นการ ส่งสัญญาณตอบโต้เชิงนโยบายระหว่างประเทศ เพื่อยืนยันจุดยืนของไทยในเวทีระหว่างประเทศก่อนการประชุม GBC (General Border Committee) ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้
🔴 2 สิงหาคม“จตุพร” นำม็อบเคลื่อนไหวใหญ่กลางกรุง
วันที่ 2 สิงหาคม 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เตรียมนำการชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯ เพื่อกดดันรัฐบาลในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่อง ความล้มเหลวในการจัดการวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา และการบริหารงานด้านความมั่นคงที่ถูกมองว่า “อ่อนข้อ” ทางการทูต
การชุมนุมครั้งนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกิดขึ้นเพียง สองวันก่อนการประชุม GBC ไทย–กัมพูชา (4 ส.ค.) และก่อนวันพิพากษาคดีทักษิณ (22 ส.ค.) ซึ่งล้วนเป็นประเด็นเปราะบางที่อาจสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมือง
ขณะที่ นายจตุพรให้เหตุผลว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนในครั้งนี้คือ การส่งสัญญาณว่ารัฐบาลต้องแสดงความชัดเจนในการปกป้องอธิปไตย และไม่ยอมจำนนต่ออิทธิพลภายนอก
🔴 4 สิงหาคม GBC เวทีเจรจาชี้ชะตาไทย–กัมพูชา
การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ระหว่าง ไทย–กัมพูชา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ถูกจับตามองในฐานะหมุดหมายสำคัญของการคลี่คลายความตึงเครียดชายแดนที่ยืดเยื้อและรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา
เหตุปะทะในพื้นที่พิพาท และการกล่าวหากันว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดอธิปไตย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งในหมู่ทหารและพลเรือน พร้อมกับแรงกดดันจากประชาคมโลกให้ทั้งสองฝ่ายเคารพหลักสิทธิมนุษยชน และดำเนินการสอบสวนอย่างโปร่งใส
การเจรจาครั้งนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ ความสามารถของรัฐบาลไทย ในการรักษาอธิปไตย ความสงบ และศักดิ์ศรีของประเทศ บนพื้นฐานของสันติภาพและกติกาสากล
🔴 4 สิงหาคม: ศาลรัฐธรรมนูญขีดเส้น “อุ๊งอิ๊งค์” ยื่นชี้แจงปมคลิปเสียงฮุนเซน
เดิมพันตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย - กระทบเสถียรภาพรัฐบาล ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เป็นวันสุดท้ายที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊งค์” ต้องยื่นคำชี้แจงต่อศาล ตามคำร้องที่กล่าวหาว่าเธอ กระทำการเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ กรณีมีบทบาทเกี่ยวข้องกับ คลิปเสียงปริศนา ซึ่งอ้างว่าเป็นการสนทนาระหว่างอดีตผู้นำไทยกับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
คำร้องดังกล่าวระบุว่า อาจมีการใช้อำนาจในทางที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน อันอาจนำไปสู่การวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และถูกตัดสิทธิทางการเมือง
แม้ “อุ๊งอิ๊งค์” จะปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับคลิปดังกล่าว แต่ เส้นตายวันที่ 4 ส.ค. นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการวินิจฉัยที่อาจส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยทั้งในเชิงภาพลักษณ์และเสถียรภาพภายในพรรค
🔴 13 สิงหาคม ปมถอดถอน “อุ๊งอิ๊งค์” โยงคลิปเสียงฮุน เซน เขย่าหัวใจพรรคเพื่อไทย
ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมพิจารณาคำร้องถอดถอน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊งค์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จากตำแหน่งทางการเมือง
คำร้องดังกล่าวอ้างว่าอาจมีพฤติการณ์ขัดกันแห่งผลประโยชน์ และกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะหลังเกิดกระแสคลิปเสียงที่ถูกอ้างว่าเป็นการสนทนาระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยกับสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ซึ่งหลุดเผยแพร่ในโลกออนไลน์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
แม้คลิปจะยังไม่มีการยืนยันว่าเป็นของจริงหรือไม่ และไม่ได้เอ่ยชื่อแพทองธารโดยตรง แต่ผู้ร้องเรียนมองว่ามีเนื้อหาพาดพิงที่อาจสะท้อนถึงการใช้อำนาจทางการเมืองในลักษณะที่ขัดต่อจริยธรรมและอาจเป็นเหตุให้ถอดถอนตามรัฐธรรมนูญได้
หาก ป.ป.ช. มีมติให้รับเรื่องไว้ไต่สวน และต่อมามีมติชี้มูลความผิด แพทองธารอาจต้องพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และถูกตัดสิทธิทางการเมืองชั่วคราว ซึ่งย่อมส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของพรรคเพื่อไทยทั้งในเชิงภาพลักษณ์และยุทธศาสตร์การเมือง
🔴 22 สิงหาคม วันชี้ชะตาทักษิณ – รอลงอาญา
อีกหนึ่งคดีสำคัญที่กำลังจะถึงเส้นตัดสินคือกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 สิงหาคมนี้
หากศาลมีคำพิพากษาลงโทษแต่ ให้รอลงอาญา ทักษิณจะไม่ต้องรับโทษจำคุกทันที และตามกฎหมายยังสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ จุดนี้เองที่กลายเป็นประเด็นร้อนทางสังคมและการเมือง เพราะหลายฝ่ายตั้งคำถามถึง ความเท่าเทียมทางกฎหมาย และ สิทธิพิเศษ ที่ผู้ต้องโทษทั่วไปอาจไม่ได้รับ
คำตัดสินครั้งนี้ไม่เพียงแค่มีผลต่ออดีตผู้นำเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม และอาจส่งผลทางอ้อมต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่ถูกมองว่ามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับอดีตนายกฯ รายนี้
🔴 สิงหาคม เดือนแห่งบททดสอบครั้งใหญ่ของไทย
เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2568 นี้ จะเห็นได้ว่ามีอย่างน้อย 6 ประเด็นร้อน ที่กำลังดำเนินไปควบคู่กัน ทั้งในมิติของ ความมั่นคงชายแดน การทูตระหว่างประเทศ กระบวนการยุติธรรม และความชอบธรรมของนักการเมืองระดับนำ
ไม่ว่าจะเป็นภารกิจพาทูตทหารดูพื้นที่พิพาทชายแดน (1 ส.ค.), การเคลื่อนไหวของม็อบจตุพร (2 ส.ค.), เวทีเจรจา GBC กับกัมพูชา (4 ส.ค.), คำร้องคดีคลิปเสียง “อุ๊งอิ๊งค์” ต่อศาลรัฐธรรมนูญ (4 ส.ค.), การพิจารณาถอดถอนโดย ป.ป.ช. (13 ส.ค.) หรือแม้แต่คำพิพากษานัดชี้ชะตานายทักษิณ (22 ส.ค.)—ทั้ง 6 คดีเปรียบเสมือนระเบิดเวลาทางการเมือง ที่พร้อมจุดชนวนได้ตลอดเวลา
เดือนสิงหาคมจึงไม่ใช่เพียงช่วงเวลาในปฏิทิน แต่คือ สมรภูมิของศรัทธา ความยุติธรรม และทิศทางของประเทศ ว่าจะยืนหยัดอย่างมั่นคงภายใต้หลักกฎหมายและจริยธรรมหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ