‘กรกิจ’แนะไทยควรใช้กลไกศาลอาญาระหว่างประเทศ หากพบการวางกับระเบิดใหม่
จากกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ"นายนิกรเดช พลางกูร" อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวประเด็นประท้วงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ว่า จากกรณีเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 16 ก.ค. เกิดเหตุกำลังพลของไทยเหยียบกับระเบิดที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ซึ่งประเด็นทุ่นระเบิด กองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ได้แถลงไปเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ภายหลังการตรวจสอบของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ยืนยันว่า ทุ่นระเบิด 8 ลูก ที่พบเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ และไม่มีในการใช้งาน หรืออยู่ในคลังอาวุธของไทย โดยได้มีการประชุมฝ่ายเลขานุการของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา (ศบ.ทก.) ซึ่งเป็นการประชุมระดับปฏิบัติ เพื่อแลกเปลี่ยน และจัดเตรียมข้อมูล เพื่อนำเสนอแนวทางการดำเนินงานในด้านต่างๆ ให้ที่ประชุม ศบ.ทก. ที่มีกำหนดประชุมในวันที่ 21 ก.ค. เพื่อพิจารณาต่อไป เรื่องนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก และมีกรอบดำเนินการหลายกรอบ ฝ่ายไทยจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "กรกิจ ดิษฐาน" นักเขียนด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมตะวันออก ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นไทยไม่ควรไปฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตามเกมกัมพูชา เพราะกรณี “กับระเบิด” เข้าข่าย อาชญากรรมสงคราม ต้องฟ้องต่อ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งเป็น “ศาลโลก” ที่แท้จริงสำหรับคดีอาชญากรรมร้ายแรง ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "Kornkit Disthan" โดยระบุว่า
"ผมสังเวชใจที่กัมพูชาท้าไทยให้ไปฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เรื่องกับระเบิด อยากจะบอกว่าศาลที่ไทยจะต้องไปฟ้อง และผู้นำกัมพูชาจะต้องเป็นจำเลย คือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพราะการวางกับระเบิดเป็น "อาชญากรรมสงคราม" (War crime) เพราะขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และยังขัดต่อสนธิสัญญาออตาวา (Ottawa Treaty) หากผิดจริง ผู้นำเขมรเข้าคุกลูกเดียว เพราะตัวเองก็มีภัยกับระเบิด แต่ยังเอามันมาใช้เล่นงานเพื่อนบ้านในยามสันติ"
อีกทั้ง "ส่วนกับระเบิดในฐานะอาชญากรรมสงคราม ผมไม่เห็นว่าจะติดขัดอะไร และเป็นการสนองความกระสันของกัมพูชาด้วยที่ "อยากขึ้นศาลโลก" ก็ ICC นี่ศาลโลกเหมือนกัน เราขึ้นพร้อมกัน ไทยเป็นโจทก์ กัมพูชาเป็นจำเลย สมใจอยากแล้วไม่ใช่หรือ คำถามก็คือ "รัฐบาลไทยกล้าหรือเปล่า"
นอกจากนี้ "ถ้ารัฐบาลไทยกล้าจริงก็ต้องทำให้โลกเห็นว่า "กัมพูชา" เป็นผู้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการก่ออาชญากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งในทางสงครามและต่อมนุษยชาติ หากเราไม่ทำหน้าที่ผดุงความยุติธรรม แล้วจะมีหน้าไปบอกชาวโลกได้อย่างไร ว่าเราเป็นประเทศที่ดำเนินตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ต้องถึงขั้นหา "สงครามที่ชอบธรรม" (Just war) หรอกครับ เอาแค่รักษาเหตุผลทางกฎหมายที่ชอบธรรม (Just cause) ก็ควรมีอยู่บ้างสำหรับประเทศเรา"
"เฮง รัตนะ คนเขมรที่ท้าทายไทยนี้ เป็นถึงหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ซึ่งเมื่อปี 2551 เป็นคนเดียวกับที่ออกมาปกป้องประเทศตัวเองว่าไม่ได้วางกับระเบิดใหม่ หลังจากที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาดบริเวณเขาพระวิหาร แต่ประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ โดยอ้างอิงรายงานของรัฐบาลกัมพูชาในปี 2545 ที่ส่งถึงสหประชาชาติ ซึ่งระบุว่าทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 240 ลูก จากทั้งหมด 3,405 ลูก ได้ถูกโอนจากกระทรวงมหาดไทยในกรุงพนมเปญไปยัง CMAC เพื่อทำการ "พัฒนาและฝึกอบรม" ข้ออ้างของไทยนี้เพื่อย้ำว่าอาจมีทุ่นระเบิดของกัมพูชาถูกลักลอบนำมา "วางใหม่" ที่ชายแดน ตั้งแต่ปี 2551 จนถึง 2568 ทหารไทยเราก็ยังตกเป็นเหยื่อของ PMN-2 ที่ชายแดนกัมพูชา ตกลงว่าเราจัดการ "อาชญากรสงคราม" พวกนี้ไม่ได้หรือ"
ขอบคุณข้อมูล : "Kornkit Disthan"