“AOC 1441” เตือนภัย “โจรออนไลน์” อ้างเป็น “จนท.ค่ายมือถือ” ลวงโอนเงินเสียหายกว่า 3 ล้านบาท
น.ส.วงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 4–10 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย
คดีที่ 1 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 3,314,816 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ชักชวนเทรดหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ ผู้เสียหายสนใจจึงสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook จากนั้นจึงโอนเงินเพื่อเริ่มเทรดหุ้น ช่วงแรกได้รับเงินจริง จึงโอนเงินไปเทรดหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพอ้างว่าต้องโอนเงินชำระค่าภาษีก่อน แต่เมื่อโอนไปแล้วก็ยังไม่สามารถถอนเงินได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 2 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 2,380,485 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณารับซื้อเสื้อผ้ามือสองผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line ที่แสดงหน้าเพจเพื่อสอบถามรายละเอียด จากนั้นได้รับการเชิญเข้ากลุ่ม Openchat และชักชวนให้ร่วมลงทุนเพื่อรับผลตอบแทน ช่วงแรกได้รับเงินจริง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 3 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 3,513,706 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัท AIS แจ้งว่ามีบุคคลนำบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปเปิดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อใช้ในทางผิดกฎหมาย และให้เพิ่มเพื่อนทาง Line เพื่อวิดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากไม่ทำตามจะมีความผิดขั้นร้ายแรง มิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการมิจฉาชีพ และคดีฟอกเงิน จะต้องโอนเงินไปตรวจสอบ หากพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะโอนเงินคืนให้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปจนหมด จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 4 คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ มูลค่าความเสียหาย 1,349,383 บาท ทั้งนี้ผู้เสียหายพบโฆษณาบริษัทรับจัดหาที่พักในต่างประเทศผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงติดต่อไปสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook และได้รับแจ้งว่าในการทำสัญญาจะต้องชำระค่ามัดจำพร้อมค่าเช่าล่วงหน้า 6 เดือน ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไป หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก จึงโทรศัพท์หาเจ้าของบ้านทราบว่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากบริษัทดังกล่าว ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก
และคดีที่ 5 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 2,021,973 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แจ้งว่ามีบุคคลนำบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปเปิดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อใช้ในทางผิดกฎหมาย และโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าจะต้องโอนเงินไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อประเมินทรัพย์สิน หากพบว่าไม่มีความผิดจะดำเนินการโอนเงินคืนให้ทั้งหมด ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปจนหมดบัญชี จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก
สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 12,580,363 บาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 1 สิงหาคม 2568 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงาน ดังนี้ 1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 2,002,778 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,095 สาย 2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 821,090 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,269 บัญชี
3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 261,287 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 31.82 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 184,336 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 22.45 (3) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 126,629 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 15.42 (4) หลอกลวงลงทุน 111,019 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 13.52 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 58,314 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.11 (และคดีอื่นๆ 79,505 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 9.68)
“จากเคสตัวอย่างมิจฉาชีพได้หลอกลวงผู้เสียหาย โดยมีทั้งการอ้างเป็น เจ้าหน้าที่ค่ายมือถือ และการสื่อสารแห่งประเทศไทย แจ้งมีบุคคลนำบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปเปิดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อใช้ในทางผิดกฎหมาย และโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ต้องโอนเงินตรวจสอบบัญชี ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเงินไปจนหมดบัญชี พบเสียหายกว่า 5.5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเคสหลอกให้ลงทุนเทรดหุ้น พบความเสียหายกว่า 3.3 ล้านบาท เคสหลอกลวงหารายได้พิเศษ และเคสหลอกลวงซื้อขายสินค้า โดยรวมแล้วมีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 12 ล้านบาท” น.ส.วงศ์อะเคื้อ กล่าว
ทั้งนี้ขอย้ำว่า การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรต่างๆ หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ ควรตรวจสอบให้แน่ชัด โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ จะไม่มีการติดต่อกับประชาชนโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดีย และการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขณะเดียวกันไม่ควรสแกน QR Code หรือดาวน์โหลดลิงก์ต่างๆ ที่ยังไม่มีการตรวจสอบ เพราะอาจเป็นการติดตั้งแอปดูดเงิน และข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ตั้งใจ