บิว สาวป่วยมะเร็ง โดนแจ้ง 2 ข้อหา เผยปมโพสต์ท้า ทำคนแจ้งเอาผิดทั่วประเทศ
ทนายรณณรงค์ นำหนุ่มวัย 27 ผู้เสียหายโอนบริจาคช่วย บิว สาวป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 3 ที่ยอดพุ่ง 1.6 ล้าน นำหลักฐานพร้อมฟันผิด 2 ข้อหา เผยไม่อยากให้คนเดือดร้อนจริงลำบากหากต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ ทนายรณณรงค์ แนะถ้าเงินยังเหลือรีบหาทางบรรเทาโทษด้วยวิธีนี้
จากกรณี เฟซบุ๊ก CarBew Donlaya หรือ “บิว สาวป่วยทะเร็งเต้านมระยะที่ 3 โพสต์ขอรับเงินบริจาคผ่านโซเชียล โดยเฮะอ้างว่าจำเป็นต้องใช้ค่ายาเคมีบำบัดรวมกว่า 520,000 บาท และค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดขาวครั้งละ 7,000 บาท ซึ่งไม่ครอบคลุมสิทธิประกันสังคม จึงเป็ที่มาให้ต้องขอความช่วยเหลือผ่านโลกออนไลน์ และเพียงชั่วข้ามคืน ปรากฏว่ามีผู้ใจบุญหลั่งไหลช่วยเหลือ ทำให้มียอดเงินบริจาคพุ่งสูงกว่า 1.6 ล้านบาท ท่ามกลางพิรุธที่เพจดังอย่าง “จ๊อกจ๊อก” ไปไล่สาวไส้ว่า สาวที่ออกมาเปิดรับบริจาครายนี้ไม่ใสอย่างที่คิด เพราะเคยมีคดีความฟ้องศาลแล้ว 3 หมาย รวมถึงยังจงใจให้ยอดพุ่ง โดยไม่ยอมปิดรับบริจาคจนเลขแตะ 7 หลักดังกล่าว
ต่อมาคดีนี้ทำท่าบานปลายหนัก เมื่อเพจเจ้าดังกล่าวอ้างว่ารวบรวมผู้เสียหายได้กว่า 200 ราย รวมถึงยังส่งเบอร์ติต่อของสาวบิวที่ป่วยมะเร็งฯ ให้กับหนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย โดยหวังว่าจะมีการไปเปิดหลักฐานตลอดจนเคีลรย์ยอดบริจาคและหลักฐานทั้งหมดกันที่รายการดังของช่อง 3
ขณะที่ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ นักกฎหมายตัวกลั่น ในฐานะประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “พาผู้บริจาคเงินค่ารักษามะเร็งมาแจ้งความครับ ทัวร์ทั่วไทยละงานนี้”
อัปเดตล่าสุด รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ของช่อง 3 ได้เปิดเผยบรรยากาศเมื่อช่วงคำที่ผ่านมา (17 ส.ค.) ซึ่งทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เดินทางไปที่สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี พร้อมนายเอ (นามสสมมิต) อายุ 27 ปี ผู้เสียหาย เข้าแจ้งความที่พร้อมหลักฐานสลิปโอนเงินเป็นจำนวน 200 บาท โดยแจ้ง 2 ข้อกล่าวหา ได้แก่
- ฉ้อโกงประชาชน
- นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ
ทั้งนี้ผู้เสียหายทราบต่อมา ภายหลังจากแถลงการณ์ของรพ.ทั้ง 2 แห่งว่า “บิว” ไม่ได้ต้องเสียค่ารักษาใดๆ เพิ่มเติม เพราะเป็นผู้ป่วยที่สามารถเบิกได้ตามสิทธิการรักษาเป็นทุนดิมอยู่แล้ว โดยนายเอ เล่าว่าเมื่อ 15 ส.ค.เห็นโพสต์ขงผู้หญิงรายนี้บนเฟซบุ๊กระบุว่า เป็นโรคมะเร็งระยะสามไม่มีรายได้
ตนเห็นโพสต์แล้วจึงรู้สึกสงสาร ตัดสินใจโอนเงินบริจาคช่วยไปสองร้อยบาท เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครเอาเรื่องเจ็บป่วยมาโกหก แต่พอมาทราบความจริงจากทางโรงพยาบาลว่า ผู้ป่วยไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายแล้วดันเจอว่ายอดบริจาคทะลุ 1.6 ล้านบาท ประกอบกับพิรุธโอนย้ายเงินเข้าบัญชีของแม่เลยรู้สึกว่า “ไม่เป็นธรรม” เพราะยังมีผู้ที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่กลับไม่ได้ความช่วยเหลือ อยากให้เคสนี้เป็นอุทาหรณ์ไม่อยากให้ใครกระทำแบบนี้อีก
“มีแบบหัวโล้นเนาะ ตอนนี้เขาออกบว่า เขาออกจากงาน มารักษาตัว เขากับแม่ไม่มีรายได้ ตอนแรกก็สงสารแหละ คงไม่มานั่งโกหกหรอก ก็เลยโอนบริจาคไปให้ รู้สึกไม่ยุติธรรมแล้วเคสที่เขาลำบากจริง คนอื่นที่ทุกข์ร้อนจริงก็จะเดือดร้อนตามไปด้วย”
ขณะที่ ทนายรณณรงค์ หลังพาผู้เสียหายเข้าพบจนท.ตำรวจพร้อมหลักฐานจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ด้านของนักฏหมายยยังตำหนิสาวที่ออกมาเปิดรับบริจาคด้วยว่า ผู้ที่ออกมาเรี่ยรายเงินจากสังคมอันดับแรกต้องโปร่งใส-ซื่อสัตย์ และควรเปิดข้อมูลการใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ให้ชัดเจน ไม่ใช่ไปเขียนข้อความท้าทายคนบริจาคว่า “ถ้าอยากได้ก็ทักมา!”
ทนายความมองว่า แบบนี้เป็นการดูถูกศักศรีดิ์คนที่ช่วยเหลือและเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนบริจาคหลายคนไปแจ้งควาททั่วประเทศ กรณีนี้จะเข้าข่าย 2 ข้อหาที่แจ้งไปดังกล่าว ก่อนจะแนะนำถ้าเงินยังเหลือจากการบริจาค จงนำเงินที่เหลือไปช่วยคนที่เจ็บป่วยจริงเพราะจะได้เป็นการบรรเทาโทษอีกทาง.
สำหรับทิศทางคดีจากนี้ เบื้องต้นตำรวจสภ.บางกรวยได้รับเรื่องไว้แล้วและจะส่งต่อให้กับ สภ.ปลายบางซึ่งเป็นสภ.เจ้าของพื้นที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินคดีต่อไป.
อ่านข่าวเพิ่มเติม