นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐ-ยุโรป จี้ “จีน” หนุนเงินหยวนแข็งค่า ลดความตึงเครียดการค้า
นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐ-ยุโรป เตือนการตรึงค่าเงินหยวนในระดับต่ำ อาจบิดเบือนเศรษฐกิจ จีน-เพิ่มความตึงเครียดทางการค้ากับตะวันตก ขณะเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูประบบบริหารค่าเงินดังขึ้นเรื่อย ๆ
วันที่ 14 สิงหาคม 2568 เวลา 11.42 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าเสียงเรียกร้องจากนักเศรษฐศาสตร์และอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งในสหรัฐและยุโรปเพิ่มมากขึ้น ให้รัฐบาลจีนปรับแข็งค่าเงินหยวน โดยเตือนว่าการตรึงค่าเงินต่ำเป็นเวลานานอาจทำให้ความตึงเครียดทางการค้ารุนแรงขึ้น และบิดเบือนรูปแบบการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีนักวิจัยอย่างน้อย 3 รายจากสถาบันวิจัยและคลังสมอง (think tank) รวมถึงสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ในสหรัฐ เผยแพร่บทวิเคราะห์ที่ชี้ให้เห็นถึงการประเมินว่าค่าเงินหยวนมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง และบทบาทของมันในการสนับสนุนความสามารถทางการแข่งขันด้านการส่งออกของจีน
เสียงเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐเดินหน้าเจรจาภาษีนำเข้า โดยตลาดคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนอาจถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ค่าเงินหยวนอาจปรับเปลี่ยน หากจีนดำเนินนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศและลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจของกระทรวงการคลังสหรัฐว่าจะระบุให้จีนเป็นผู้บิดเบือนค่าเงินหรือไม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
มาร์ก โซเบล อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่มีประสบการณ์ทำงาน 40 ปี เขียนบทความเมื่อวันที่ 6 ส.ค. บนเว็บไซต์ของสถาบัน Official Monetary and Financial Institutions Forum ในสหราชอาณาจักร ระบุว่า “ถึงเวลาที่ทางการจีนควรยอมให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” โดยชี้ว่า ค่าเงินหยวนที่ต่ำกว่ามูลค่ามาก เป็นองค์ประกอบสำคัญในโมเดลการเติบโตของจีนมานาน และอ้างการประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงตั้งแต่ 8.5% ตามข้อมูล IMF ไปจนถึงกว่า 20% ตามข้อมูลของสถาบัน Brookings
ตามดัชนีค่าเงินที่แท้จริง (REER) ของธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (BIS) ค่าเงินหยวนอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2554 ส่วนหนึ่งมาจากแรงกดดันด้านเงินฝืดเพราะอุปสงค์ในประเทศซบเซา
อีกทั้งยังมาจากการอ่อนค่าของหยวนเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักที่จีนใช้กำหนดทิศทางค่าเงิน โดยปีนี้หยวนแข็งค่าเพียง 1.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้ว่าดัชนีค่าเงินดอลลาร์ของ Bloomberg จะอ่อนค่าลงกว่า 8% และหยวนยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ 19 จาก 24 สกุลเงินของคู่ค้าสำคัญของจีน
เยือร์เกิน มัทเทส นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเศรษฐกิจเยอรมัน ระบุว่า“มีเหตุผลชัดเจนที่จีนควรมีความยืดหยุ่นด้านอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น และปรับเปลี่ยนระบบบริหารค่าเงินของธนาคารกลางอย่างเป็นระบบ” พร้อมชี้ว่า การที่หยวนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรอย่างไม่เป็นธรรม เป็นสาเหตุสำคัญของการขาดดุลการค้าสินค้าของยุโรปกับจีน และแนะว่าควรมีมาตรการทางการค้าโดยด่วน เนื่องจากจีนเริ่มเบนการส่งออกไปยังตลาดนอกสหรัฐ
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยืนยันหลายครั้งว่าจะคงค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพโดยรวม และระบุว่าไม่ได้มุ่งหวังความได้เปรียบทางการค้าโดยการทำให้หยวนอ่อนค่า
แบรด เซตเซอร์ นักวิจัยอาวุโสจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐ ระบุในบทความเมื่อ 16 ก.ค. ว่า แม้การส่งออกของจีนยังแข็งแกร่ง แต่การอ่อนค่าของหยวนอาจกลายเป็นประเด็นในรายงานอัตราแลกเปลี่ยนของสหรัฐรอบหน้า ซึ่งแม้รายงานเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจะไม่ระบุว่าจีนบิดเบือนค่าเงิน แต่ก็วิจารณ์ถึงความโปร่งใสที่ขาดหายไปในนโยบายและแนวปฏิบัติด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ตลาดกำลังจับตาว่าการที่จีนพยายามแก้ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม ควบคู่กับการปรับขึ้นเล็กน้อยของค่าอ้างอิงหยวนโดย PBOC จะนำไปสู่การฟื้นตัวของ REER หรือไม่ โดยโซเบลกล่าวว่า การทำให้หยวนแข็งค่าจะช่วยหนุนอุปสงค์ในประเทศ เพิ่มรายได้จริง และส่งสัญญาณถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่สินค้าและบริการที่ไม่ต้องพึ่งการค้าโลก อีกทั้งยังช่วยลดการแข่งขันเกินความจำเป็นและบรรเทาแรงกดดันเงินฝืด
แม้จะมีการปรับค่าอ้างอิงหยวนขึ้น แต่มุมมองของเซตเซอร์ยังมองว่าจีนต้องดำเนินการครั้งใหญ่มากกว่านี้เพื่อแก้ปัญหาการอ่อนค่าของหยวน พร้อมเตือนว่าผู้นำจีนกำลังประเมินต่ำไปถึงผลกระทบที่การไม่ยอมดำเนินมาตรการพื้นฐานเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ มีต่อภาพลักษณ์ของจีนในเวทีโลก
อ้างอิง : www.bloomberg.com