การเมืองเรื่อง'ขายชาติกัมพูชา'เพื่อกำจัดศัตรู'ระบอบฮุน'จึงทำเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในกฎหมายระหว่างประเทศ
ภูมิหลังของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมปีนี้ รัฐสภากัมพูชาได้ประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะอนุญาตให้เพิกถอนสัญชาติเขมร
สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ ฮุน เซน ในฐานะประธานวุฒิสภา และผู้กุมอำนาจแท้จริงของประเทศ ได้เรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของกัมพูชาพิจารณาข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน เขาได้กล่าวในสุนทรพจน์ว่า ข้อเสนอนี้คือ “การเพิกถอนสัญชาติของชาวกัมพูชาที่เข้าข้างต่างชาติที่ทำร้ายประเทศของเรา”
รัฐบาลและรัฐสภาจึงรับลูกและต่อมาสภารัฐธรรมนูญแห่งกัมพูชาประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญกัมพูชามาตรา 33 สามารถทำได้
โดยมาตรา 33 ก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบุว่า “พลเมืองเขมรจะไม่ถูกเพิกถอนสัญชาติ… [และ] พลเมืองเขมรที่พำนักอยู่ในต่างประเทศจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐ การได้มาซึ่งสัญชาติกัมพูชาถูกกำหนดโดยกฎหมาย”
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาอนุมัติได้เพิ่มข้อความใหม่ให้มีความหมายว่า “การได้รับ การสูญเสีย และการเพิกถอนสัญชาติเขมรจะเป็นไปตามกฎหมาย”
ล่าสุดกฎหมายเพิกถอนสัญชาติเขมรได้ผ่านการอมุมัติแล้ว
พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม กฎหมายเพิกถอนสัญชาติของกัมพูชา ออกมาก็เพื่อทำลายฝ่ายค้านให้ตายสนิท เพื่อปิดปากผู้วิจารณ์รัฐบาล และทำให้ตระกูลฮุนครองอำนาจต่อไปตราบนานเท่านาน
ดังนั้น ฝ่ายค้านและพวกสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (ที่ตอนนี้เผ่นออกไปอยู่ต่างแดนเสียส่วนใหญ่) จึงอยู่เฉยไม่ได้ เช่น สันนิบาตกัมพูชาเพื่อส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน (LICADHO) แถลงว่า "การเป็นพลเมืองกัมพูชาในปัจจุบันยังหมายถึงการอยู่ในประเทศที่การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล การปกป้องสิ่งแวดล้อม หรือการรวมตัวกันกับสหภาพแรงงานอาจนำไปสู่โทษจำคุก นี่เป็นความเสี่ยงที่นักเคลื่อนไหว นักการเมือง และประชาชนทุกคนต่างรู้ดีในใจ หลายคนยังคงเสี่ยงและเข้าร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวด้วยความรักที่มีต่อกัมพูชา เราต้องการช่วยสร้างกัมพูชาให้ลูกหลานและคนที่เรารัก โดยเคารพประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม"
แถลงการณ์แบบนี้ไม่มีประโยชน์ เหมือนเป็นแค่เศษกระดาษที่พวกตระกูลฮุนเอาไว้เช็ดก้นเปล่าๆ เพราะหากฝ่ายค้านและพวกสิทธิมนุษยชนเขมรต้องการช่วยชาติบ้านเมือง ควรจะออกมาเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้เพื่อโค่นระบอบฮุน
แต่นี่กระไร นอกจากจะตีสำนวนโวหารไปวันๆ แล้ว พวกนี้ยังรวมพลังกับตระกูลฮุนแบบจับพลัดจับผลู ทำการจาบจ้วงและโจมตีไทย ทั้งๆ ที่ไทยให้โอกาสพวกฝ่ายค้านและนักเคลื่อนไหวเขมรมาซุกหัวนอนไม่รู้จักเท่าไร
ดังนั้น หากพวกนี้จะเสียสัญชาติ ขาดพาสปอร์ต และไม่มีแผ่นดินอยู่ คนไทยก็ไม่ควรสงสารแต่ควรสมน้ำหน้า ที่เนรคุณไทยไม่หยุดหย่อน
อย่างที่ผมเคยบอกไปว่า คนไทยอย่าไปพึ่งฝ่ายค้านกัมพูชาว่าจะช่วยไทยปราบฮุน เซน เพราะพวกนี้ไม่เพียงไม่ลงไม้ลงมือทำอะไรกับฮุน เซน จริงๆ จังๆ แต่ยังแทงข้างหลังไทยด้วยซ้ำ
ดังนั้น ปล่อยคนเหล่านี้ให้ทำลายกันเองต่อไป ส่วนพวกรัฐบาลฮุนที่ผ่านกฎหมายชั่วร้ายนี้ออกมา ก็กลายเป็น "พวกไร้หัวใจ" ในสายตาชาวโลกไปแล้ว
มีอย่างที่ไหนที่จะสั่งถอนสัญชาติประชาชนตัวเองที่ได้มาโดยชอบธรรม? อย่างชั่วร้ายที่สุดที่ระบอบฮุนเคยทำก็คือสังหารฝ่ายตรงข้าม รองลงมาคือเนรเทศฝ่ายตรงข้ามไปต่างประเทศ หรือจับขังคุก
การถอนสัญชาติของผู้ที่เป็นเขมรกัมพูชาแต่กำเนิด ไม่มีประเทศอารยะที่ไหนเขาจะทำกัน แม้แต่รัฐบาลทรัมป์ที่กระสันอย่างจะถอนสัญชาติคนอเมริกันมากมาย ก็ทำได้แค่ถอนสัญชาติพวกที่เปลี่ยนชาติมาจากที่อื่นๆ หรือคนที่ทำ Naturalization เท่านั้น ซึ่งตามปกติหากจะถอนสัญชาติ ประเทศไหนๆ ก็จะถอนพวกที่ทำ Naturalization เป็นหลัก (พวกมีสัญชาติอื่นแล้วเปลี่ยนใหม่)
ส่วนรัฐบาลฮุนห้าวไปอีอกขั้นด้วยการถอนสัญชาติโดกำเนิด นับเป็นอีกนวัตกรรมความเหี้ยมโหดต่อสิทธิมนุษยชน หากไม่ได้เกิดในประเทศที่เหี้ยมโหดต่อผู้คนโดยสันดานอย่างกัมพูชา เห็นทีจะทำไม่ได้
ก่อนหน้านี้ มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคของ Amnesty International กล่าวว่า “การเพิกถอนสัญชาติมักละเมิดสิทธิมนุษยชน และเมื่อกระทำในลักษณะที่ทำให้บุคคลไร้รัฐถือเป็นขั้นตอนอันตรายที่ต้องห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ การเพิกถอนสัญชาติของบุคคลต้องไม่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อปิดปากและข่มขู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และทางการกัมพูชาต้องเพิกถอนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยทันที ยุติการปฏิบัติแบบเผด็จการ และยึดมั่นในพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักนิติธรรม”
และประชาคมระหว่างประเทศควรประณามข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่น่ารังเกียจของรัฐบาลกัมพูชาอย่างเปิดเผย
พูดสั้นๆ คือกัมพูชาภายใต้ระบอบฮุนละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอีกแล้ว
เช่นเดียวกับสงครามกับไทย ที่กัมพูชาทั้งละเมิดการหยุดยิง ใช้ทุ่นระเบิดที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กระทำการปล่อยข่าวปลอมที่เป็นภัยต่อโลก และยังเลี้ยงสแกมเมอร์เอาไว้เป็นทุนทำสงครามกับไทย (จนไทยต้องตั้ง War room กับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย เพื่อปราบเขมรกันเอง)
ปกติผมเห็นว่า Amnesty International มักจะใส่ใจเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยสนองวาระทางการเมืองของชาติตะวันตก แต่กับเรื่องถอนสัญชาติเขมรผมเห็นด้วยกับพวกเขา เพราะนี้คือการกระทำ "ที่น่ารังเกียจของรัฐบาลกัมพูชา" อย่างแท้จริง เป็นการทำลายสิทธิ์พื้นฐานของความเป็นมนุษย์แท้ๆ เพื่อสนองเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง
ฉากหน้านั้นฮุน เซน อ้างว่าต้องทำการ “เพิกถอนสัญชาติของชาวกัมพูชาที่เข้าข้างต่างชาติที่ทำร้ายประเทศของเรา”
แต่ผมอยากให้ลองดูการให้สัญชาติของรัฐบาลฮุนที่มอบให้กับบุคคลต่างๆ เช่น
เมื่อปี 2018 รัฐบาลกัมพูชามีแผนที่จะปูทางไปสู่การให้สัญชาติแก่ชาวเวียดนามประมาณ 70,000 คน ซึ่งบางคนอาศัยอยู่ในกัมพูชามานานหลายทศวรรษ เรื่องนี้ในสายตาของเขมรกัมพูชาหลายคนถือเป็นการ "ขายชาติให้ญวน" เพราะเห็นว่า ฮุน เซน เป็นลูกหม้อของ "ญวน" โดยเชื้อเชิญเวียดนามมารุกรานกัมพูชาแล้วเวียดนามก็ยกอำนาจให้กับเขาปกครองบ้านเมือง หลังจากนั้น "พวกญวน" ก็แห่เข้ามาทำมาหากินในกัมพูชามากมาย ความขัดแย้งระหว่าง "เขมร" และ "ญวน" นั้นรุนแรงมากในปี 2013 เพราะเป็นปีที่พรรคของสมรังสี คือ CNRP ปลุกประเด็นเรื่อง "เขมรเสียดินแดนให้ญวน" และมีการชุมนุมประท้วงที่ชายแดนเวียดนาม
ผลก็คือการเลือกตั้งใหญ่ปี 2013 พรรค CNRP ได้ที่นั่งเกือบครึ่งในสภานับเป็นการสั่นสะเทือนอำนาจของระบอบฮุนอย่างหนัก ทำให้ระบอบฮุนทำการกวาดล้างพรรคฝ่ายค้านและพวกเห็นต่าง (รวมถึงพวกชาตินิยมที่ต่อต้านญวน) ผลก็คือ ในการเลือกตั้งครั้งต่อมาคือ 2018 พรรคฝ่ายค้านเกือบจะสูญพันธุ์ ส่วน สม รังสี เผ่นออกนอกประเทศไปก่อนหน้านั้นแล้ว
หลังการเลือกตั้งปี 2018 พลพรรคฝ่ายค้านต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนหรือไม่ก็เข้าคุก ขณะที่ สม รังสี ต่อปากต่อคำกับ ฮุน เซน จากบ้านอื่นเมืองอื่นนับแต่นั้นโดยโจมตีฮุน เซนมาตลอดว่า "ชายชาติ" จนกระทั่งระบอบฮุนต้องงัดเอากฎหมายถอนสัญชาติขึ้นมาเล่นงานเพื่อที่จะใช้ "มีดขายชาติ" หันมาจ้วงแทงสม รังสีเสียเอง
อนึ่ง มีเรื่องที่น่าสนใจก็คือ แม้การเลือกตั้งปี 2018 จะเต็มไปด้วยกลโกงและการปราบฝ่ายตรงข้ามโดยฮุน เซน แต่รัฐบาลไทยกลับเป็นเพียงหนึ่งในสี่รัฐบาลต่างชาติ ที่แสดงความยินดีที่รัฐบาลฮุน เซน ชนะเลือกตั้ง!
เพราะยินดีกับความชั่วร้ายของฮุน เซน ในวันนั้น วันนี้ประเทศไทยต้องมาถูกพวกระบอบฮุนรุกรานเช่นฆ่าประชาชนคนไทย ไม่รู้ว่ารัฐบาลที่ยินดีในตอนนั้นจะรู้สึกอย่างไรในวันนี้
หลังจากที่เกิดกรณี "เขมรต้านญวน" และจุดจบของฝ่ายค้านกัมพูชา หลังจากนั้นระบอบฮุนก็เริ่มหากินกับพวกสแกมเมอร์เนื่องจากสร้างรายได้ให้งดงามและยังช่วยเติมเต็มเงินที่หายไปจากชาติตะวันตก ซึ่งไม่พอใจที่ระบอบฮุนละเมิดสิทธิมนุษยชาติและกวาดล้างฝ่ายค้าน
ดังนั้น เมื่อปี 2021 จึงมีข่าวว่า ในปีนั้นชาวจีนและไต้หวันมากกว่า 500 รายได้รับสัญชาติกัมพูชาในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 83 ของชาวต่างชาติทั้งหมดที่ได้รับสัญชาติกัมพูชา โดยคนจีนทั้งหมดได้รับสัญชาติ "ผ่านเส้นทางการลงทุน" ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "สัญชาติกิตติมศักดิ์" ซึ่งผู้สมัครจะต้องลงทุนเป็นเงินอย่างน้อย 1.25 พันล้านเรียลในกัมพูชา โดยวิธีนี้ช่วยให้ผู้สมัครไม่ต้องอยู่ในกัมพูชาเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งปกติแล้วเป็นระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการได้รับสัญชาติเขมร
แม้จะระบุว่า กษัตริย์กัมพูชาเท่านั้นที่สามารถพระราชทานสัญชาติผ่านพระราชกฤษฎีกาได้ แต่เจ้าเขมรมีหน้าที่ประทับตราเท่านั้น เพราะอำนาจสั่งการอยู่ที่รัฐบาลตระกูลฮุน ซึ่ง "ขายสัญชาติได้ตามใจชอบ"
โปรดทราบว่าหนึ่งในจีนที่ได้สัญชาติกัมพูชา คือพวกจีนเทาตัวบอสหลายคน เช่น เสอจื้อเจียง ซึ่งได้สัญชาติกัมพูชาเมื่อปี 2017 โดยมีชื่อเขมรว่า ตัง เกรียง ไก (Tang Kriang Kai)
นี่เป็นแค่สองตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงการให้สัญชาติพวกที่เอื้อประโยชน์ต่อระบอบฮุน และการถอนสัญชาติคนที่ "รักชาติ" ซึ่งต่อต้านระบอบฮุน เราจะเห็นว่ามันเรื่องที่กลับหัวกลับหางเพียงใด
ดังนั้น แม้ว่าผมจะไม่ไว้ใจฝ่ายค้านเขมร (ที่เสี่ยงจะถูกถอนสัญชาติ) แต่ผมเห็นว่าการให้สัญชาติกับพวสแกมเมอร์และคนต่างด้าวที่เข้ามาแย่งที่ดินและการทำกินในประเทศตัวเองนั้น ชั่วร้ายกว่าฝ่ายค้านเขมรที่เนรคุณไทยเสียอีก เพราะนี่คือ "เขมรเนรคุณแผ่นดินเขมร" ของตัวเอง
แต่ฮุน เซนและพรรคพวกได้ทำการ "กลับดำเป็นขาว" และ "สับเปลี่ยนโจรเป็นวีรบุรุษ" อย่างง่ายดาย เพราะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือ
แม้แต่ทำเรื่องที่ไม่เคยทำกันมาก่อนในสารบบกฎหมายระหว่างประเทศ นั่นคือการถอนสัญชาติคนเขมรโดยกำเนิด พวกฮุนก็ทำได้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง โดยอ้าง "ความรักชาติ" มาบังหน้า ราวกับว่าเมื่อรักชาติกัมพูชาแล้ว ต่อให้โหดร้ายกับเพื่อนบ้าน กดขี่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ชอบธรรม เพียงเพราะ "ฮุนรักชาติกัมพูชา" มากกว่าใคร
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - นายกรัฐมนตรีฮุนเซนแห่งกัมพูชา (ขวา) ไหว้สมเด็จพระนโรดม สีหมุนี ณ พระราชวังหลวง ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 (ภาพโดย AFP)