“ทรัมป์” ลั่นกลองรบสงครามยานรกข้ามชาติ
ภัยยาเสพติด ถือเป็นภัยร้ายในประเทศ และระหว่างประเทศโดยแท้
ไม่ว่าจะกลุ่มประเทศไหน ด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา และพัฒนาแล้ว ล้วนมีสิทธิ์ถูกภัยร้ายจากยาเสพติดเข้าคุกคาม หากทุกภาคส่วนในประเทศนั้นๆ ไม่เข้มแข็ง เข้มงวด รับมืออย่างจริงจัง
อย่าง “สหรัฐอเมริกา” ชาติมหาอำนาจ และได้ชื่อว่า เป็นประเทศพัฒนาแล้ว แต่ทว่า เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ยาเสพติดในสหรัฐฯ ก็ถูกยกให้ยืนอยู่แถวหน้าโลกของโลกเช่นกัน ในฐานะ “ผู้เสพ” ด้วยยาเสพติดชนิดต่างๆ อาทิ โคเคน ยาอี ยาไอซ์ กัญชา เฮโรอีน เป็นต้น
แม้กระทั่งยาแก้ปวด ก็ยังถูกนำไปใช้เป็นยาเสพติด เสพกันอย่างสนานเปรมปรีดิ์ นั่นคือ “เฟนทานิล” ยาแก้ปวดที่มีสารโอปิออยด์ระดับฤทธิ์แรง ที่กำลังเป็นปัญหายาเสพติดในสหรัฐฯ และลุกลามบานปลายกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ จากการที่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ” หยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อเล่นงานทางการค้า ตั้งกำแพงภาษีศุลกากร กับหลายๆ ประเทศว่าเป็นต้นทาง แหล่งส่งออกยาเฟนทานิล มายังสหรัฐฯ เช่น เม็กซิโก แคนาดา และจีน ที่กำลังเผชิญอยู่
นอกจากเรื่องประเด็นการค้า และมาตรการทางภาษีข้างต้นแล้ว ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้ขยายไปสู่แผนการใช้กำลังทหารเข้าไปกวาดล้างขบวนการ หรือแก๊งยาเสพติดข้ามชาติอีกต่างหากด้วย
เบื้องต้นก็เป็นยุทธภูมิในพื้นที่ละตินอเมริกา หรืออเมริกาใต้ เป็นปฐมก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ถูกตีตรา หรือตราหน้าว่า เป็นแหล่งผลิตยาเสพติด และมีขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติที่มีประวัติร้ายกาจอยู่ที่นั่น
ตามการรายงานของ “นิวยอร์กไทมส์” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ระบุว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์” ได้สั่งการอย่างลับๆ ให้ “กระทรวงกลาโหม” หรือ “เพนตากอน” ใช้กำลังทหารของกองทัพสหรัฐฯ โจมตีกลุ่มค้ายาเสพติดที่เคลื่อนไหวในหลายๆ ประเทศของทวีปอเมริกาใต้ หรือละตินอเมริกา
โดยการสั่งการข้างต้น ก็กล่าวกันว่า เป็น “คำสั่งประธานาธิบดี” และคำสั่งฉบับใหม่ ถือเป็นพื้นฐานอย่างเป็นทางการสำหรับการใช้กำลังพลในกองทัพสหรัฐฯ ออกปฏิบัติการต่อต้าน ปราบปราม ต่อขบวนการค้ายาเสพติดทั้งทางน้ำ คือ พื้นที่ทางทะเล และทางบก บนแผ่นดินในต่างประเทศ
ทั้งนี้ แหล่งข่าว ซึ่งคาดการณ์กันว่า น่าจะเป็นคนในเพนตากอน เปิดเผยกับนิวยอร์กไทมส์ว่า ทางกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ได้เริ่มร่างแผนการและทางเลือกต่างๆ ที่กองทัพสหรัฐฯ จะใช้ในปฏิบัติการจัดการกลุ่มขบวนการวายร้ายเหล่านี้แล้ว
อย่างไรก็ดี ได้มีข้อถกเถียงว่า บรรดาสมาชิกแก๊งค้ายาเสพติดข้ามชาติต่างๆ ที่ว่านี้ อยู่ในสถานะอะไร เป็นกลุ่มติดอาวุธ หรือพลเรือน ซึ่งถ้าหากถูกตีความว่า เป็นพลเรือน ก็อาจจะมี “ประเด็นข้อกฎหมาย” ตามมาอย่างมากมายก็เป็นได้ หากกำลังพลทหารในกองทัพสหรัฐฯ ไปปลิดชีพสมาชิกแก๊งค้ายาสพติดข้ามชาตินี้จนด่าวดิ้นเข้าให้
ทว่า ก็มีเสียงจากกลุ่มที่สนับสนุนให้ใช้ปฏิบัติการทางทหารล้างบางแก๊งยาเสพติดในต่างแดนครั้งนี้ว่า กลุ่ม หรือขบวนการค้ายาเสพติดในละตินฯ ที่จะตกเป็นเป้าถล่มนั้น ถูกขึ้นบัญชีให้เป็น “องค์กรก่อการร้าย” ไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่น่าที่จะมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายตามมาภายหลัง หากถูกทหารกองทัพสหรัฐฯ ใช้ปฏิบัติการเด็ดชีพ
โดยฝ่ายผู้สนับสนุนกลุ่มนี้ บอกว่า ขอให้ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ เข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ รอบ 2 ทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ได้ขึ้นบัญชีแก๊งยาเสพติดและขบวนการอาชญากรรมระหว่างประเทศหลายกลุ่ม ให้เป็น “องค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ” หรือ “เอฟทีโอ” (FTO : Foreign Terrorist Organizations) และ “กลุ่มก่อการร้ายระดับโลกที่กำหนดให้เป็นแบบพิเศษ” หรือ “เอสดีจีที” (SDGT : Specially Designated Global Terrorist)
ในแก๊งยาเสพติดและกลุ่มอาชญากรรมระหว่างประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดังกล่าว อาทิเช่น แก๊งซินาโลอาในเม็กซิโก แก๊งฮาลิสโกนิวเจเนอเรชันในเม็กซิโก แก๊งมาราซัลวาตรูชาในเอลซัลวาดอร์ แก๊งเตรนเดอารากัวในเวเนซุเอลา กลุ่มคาร์เทลเดลอสโซลส์ในเวเนซุเอลา เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งว่า แก๊งอาชญากรรมระหว่างประเทศบางแก๊ง ก็มีความเชื่อมโยงกับผู้นำประเทศบางประเทศในละตินอเมริกาอีกด้วยก็มี
อาทิเช่น แก๊งอาชญากรรมระหว่างประเทศ “คาร์เทลเดลอสโซลส์” ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในหลายๆ ประเทศ และมีที่มั่นอยู่ในเวเนซุเอลา ก็ถูกพบว่า มีความเชื่อมโยงกับประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลา จนรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มค่าหัว ตั้งรางวัลนำจับในจำนวนเงินที่เพิ่มมากขึ้น จากเดิม 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2 เท่าเลยทีเดียว
ตามรายงานของสำนักข่าวอื่นๆ นอกเหนือจากนิวยอร์กไทมส์ ก็ระบุว่า ก่อนหน้านี้ทางการสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เคยยื่นข้อเสนอที่ส่งทหารสหรัฐฯ ไปปราบปรามแก๊งยาเสพติดและกลุ่มอาชญากรรมระหว่างประเทศแบบข้ามพรมแดนเข้าไปปราบปราม แต่ถูกปฏิเสธโดยทางการของประเทศนั้น เช่น เม็กซิโก ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ปาร์โด เป็นต้น เมื่อไม่ได้ตามความประสงค์เช่นนี้ ทางประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ต้องใช้วิธีทางลับในปฏิบัติการกวาดล้างในคำสั่งล่าสุด